คำตอบคือความง่าย (friendly user) และสนองตอบความในใจ (consumer insight) ของผู้บริโภคได้ตรงจุดนั่นแหละครับ
ฟังก์ชั่นในเฟซบุ๊กสามารถแลกเปลี่ยน, พูดคุย, แสดงความเห็น, แบ่ง ปันข้อมูล กับเครือข่ายของเราและเครือข่ายของเพื่อนที่มีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกันโดยไม่ยุ่งยาก ด้วยลูกเล่นต่างๆ ทั้งแบบสอบถามขำๆ รูปสวยๆ ข้อความดีๆ ที่ใครไม่รู้ส่งมาให้ แต่สุดท้ายก็คือเพื่อนของเพื่อนเรานั่นเอง
สิ่งสำคัญ คือ facebook สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เป็น ชุมชนออนไลน์เพื่อรวบรวมข้อมูลเพื่อนๆ เหมือนหนังสือรุ่น จึงถูกวางกฎเกณฑ์ให้เหมือนโลกที่เป็นจริง คนที่จะเป็นสมาชิกต้องใช้ชื่อนาม-สกุลจริง และอีเมลเดียวกันในการลงทะเบียน เพื่อการันตีการมีตัวตนอยู่จริง ในขณะที่ชุมชนออนไลน์อื่นสามารถใช้ชื่อสมมติลงทะเบียน จึงเป็นได้แค่เครื่องมือที่ทำให้เจอคนใหม่ๆ บนโลกออนไลน์แค่นั้น
ความน่าเชื่อถือของผู้คนในชุมชนนี้ จึงไปสอดรับกับจุดขายของ face book ที่ยกเอาเรื่องการจัดวางระดับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่หลากหลายในชีวิตจริงมาไว้ในโลกออนไลน์อย่างเห็นผล
facebook จึงกลายเป็นชุมชนออนไลน์ที่แข็งแรง และขยายตัวจากกลุ่มวัยรุ่นสู่กลุ่มอายุหลากหลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งที่ social network อื่นให้ไม่ได้ ทำให้คนทั้งโลกติดหนึบอยู่หน้าคอมพ์เฉลี่ยเดือนละ 169 ชั่วโมง
ในบ้านเรา ตามข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน ที่รายงานไว้ใน check facebook.com บอกว่าไทยมีสมาชิก facebook 632,520 คน เป็นผู้ชาย 42.5% ผู้หญิง 57.5% กลุ่มอายุ 18-24 ยังเป็นกลุ่มหลัก 38.5% ใกล้เคียงกับกลุ่มอายุ 25-34 36.6% ตามมาด้วยกลุ่มอายุ 35-44 10.1% ส่วนกลุ่มวัยรุ่น 14-17 ปี ใช้น้อยมาก 8.9%
จากข้อมูลเห็นชัดเจนว่า facebook เติบโตในกลุ่มของนักศึกษาและ วัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพทางการตลาดสูง สอดคล้องกับเทรนด์ของ facebook ในประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ จากคุณสมบัติใช้งานง่ายและสมาชิกมีตัวตนจริง ทำให้ facebook ในกลุ่มคนทำงาน 35-49 ปี มีอัตราการเติบโตมากกว่ากลุ่ม 18-34 ปี เพราะคนกลุ่มนี้ใช้ social network เป็นพื้นที่ในการพูดคุยและขยายฐานธุรกิจจากเครือข่ายใน facebook ด้วย
สิ่งที่ตามมา เมื่อกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ facebook จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการตลาดที่พยายามสร้างการรับรู้แบรนด์ของตนให้อยู่ท่ามกลางการขยายความสัมพันธ์ของเครือข่ายที่แข็ง แรงทั้งทางตรงคือ การซื้อแบนเนอร์โฆษณา และทางอ้อมคือการตั้งเครือข่ายของสินค้าสื่อสารถึงผู้บริโภคผ่านกระดานสนทนาเพื่อหวังสร้างความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค อย่างน้อยการพูดคุยโต้ตอบ กับเพื่อนในเครือข่ายของลูกค้าเก่าวันละหนึ่งคน อานุภาพของ social network ก็จะทำให้มีคนรู้จักแบรนด์ของเราเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบ และถ้ามีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นแค่หนึ่ง ก็ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
Monday, 24 August 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 ความคิดเห็น on "อะไรที่ทำให้ facebook มาแรงแซงโค้งขนาดนี้ ?"
Post a Comment