Zuckerberg เพิ่งปฏิเสธข้อเสนอซื้อของ Yahoo ซึ่งเสนอซื้อ Facebook ด้วยเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือว่า Viacom เสนอซื้อ Facebook ด้วยเงิน 750 ล้านดอลลาร์ คำถามคือ การตัดสินใจของ Zuckerberg ครั้งนี้ ถูกต้องหรือไม่
ในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา มีเว็บยุคใหม่ที่เรียกว่า Web 2.0 ที่โด่งดัง 2 แห่ง ที่เพิ่งถูกขายให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ นั่นคือ MySpace ที่ถูก News Corp ซื้อไปด้วยเงิน 580 ล้านดอลลาร์ และ YouTube ที่ยอมรับเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์จาก Google
ขณะที่ในอดีตเว็บ Friendster เว็บชุมชนออนไลน์ที่โด่งดังเป็นเว็บแรก เคยปฏิเสธการเสนอซื้อด้วยเงิน 30 ล้านดอลลาร์จาก Google ในปี 2002 ซึ่งหากจ่ายเป็นหุ้น ป่านนี้คงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น Friendster ซึ่งเป็นเว็บรุ่นเก่า ก็ถูกบดบังรัศมีโดยเว็บรุ่นใหม่ๆ
Facebook จะประสบชะตากรรมอย่างเดียวกับ Friendster หรือไม่ ในขณะที่เว็บชุมชนออนไลน์ใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน
Cisco เพิ่งซื้อ Five Across ซึ่งขายซอฟต์แวร์เว็บชุมชนออนไลน์ให้แก่ลูกค้าบริษัท Microsoft กำลังทดสอบเว็บชุมชนออนไลน์ใหม่ที่มีชื่อว่า Wallop แม้กระทั่ง Reuters ก็กำลังวางแผนจะทำเว็บออนไลน์ที่คล้ายกับหนังสือรุ่นแบบ Facebook เพื่อเก็บข้อมูลของผู้จัดการกองทุนและ Trader
แต่ Zuckerberg คิดต่างออกไป เขาต้องการสร้างสิ่งที่จะอยู่ได้ในระยะยาว และเขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนั้น ทั้งตัวเขาและเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook คือ Dustin Moskovitz วัย 22 เพื่อนร่วมห้องที่ Harvard ซึ่งรับผิดชอบด้านวิศวกรรมของ Facebook และ Adam D’Angelo วัย 23 ปี เพื่อนร่วมโรงเรียนของ Zuckerberg ซึ่งรับผิดชอบด้านเทคโนโลยีของ Facebook ต่างมีความเชื่อมั่นศรัทธาว่า การเปิดกว้าง ความร่วมมือ และการแบ่งปันข้อมูลของเว็บชุมชนออนไลน์ จะทำให้โลกทำงานได้ดีขึ้น
Zuckerberg ยอมรับว่าเขาเป็น Hacker แต่ไม่ใช่ในความหมายของนักเจาะระบบ Hacker ของเขาหมายถึงการนำความพยายามและความรู้ที่ทุกคนมีมารวมกัน แบ่งปันกัน เพื่อบรรลุสิ่งที่ดีกว่า เร็วกว่าหรือใหญ่กว่า ซึ่งคนๆ เดียวทำไม่ได้ โดยให้ความสำคัญกับการเปิดกว้าง การแบ่งปันข้อมูล เขาสร้างสิ่งที่เรียกว่า Hackathon ใน Facebook ซึ่งคล้ายกับการระดมสมองสำหรับวิศวกร
อย่าง ไรก็ตาม Facebook กลับมีกำเนิดมาจากการเจาะระบบจริงๆ เมื่อ Zuckerberg เรียนอยู่ที่ Harvard เขาพบว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่มีหนังสือรุ่นที่เรียกว่า Face Book ซึ่งจะเก็บรายชื่อนักศึกษาพร้อมรูปและข้อมูลพื้นฐาน เหมือนอย่างมหาวิทยาลัยทั่วไป Zuckerberg ต้องการจะทำหนังสือรุ่นออนไลน์ของ Harvar,KM แต่ Harvard กลับปฏิเสธว่า ไม่สามารถจะรวบรวมข้อมูลได้
Zuckerberg จึงเจาะเข้าไปในระบบทะเบียนประวัตินักศึกษาของ Harvard และทำเว็บไซต์ชื่อ Facemash ซึ่งจะสุ่มเลือกรูปของนักศึกษา 2 คนขึ้นมา และเชิญให้ผู้เข้ามาในเว็บเลือกว่า ใคร “ฮอต” กว่ากัน
ภายในเวลา เพียง 4 ชั่วโมง มีนักศึกษาเข้าไปในเว็บของ Zuckerberg 450 คน และมีสถิติการชมภาพ 22,000 ครั้ง ทำให้ Harvard ห้าม Zuckerberg ใช้ Internet และเรียกตัวไปตำหนิ เหตุการณ์จบลงโดย Zuckerberg กล่าวขอโทษเพื่อนนักศึกษา แต่เขายังคงเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง
ต่อมา Zuckerberg จัดทำแบบฟอร์ม Facebook เพื่อให้นักศึกษาเข้ามาเขียนข้อมูลของตนเอง Thefacebook.com ซึ่งเป็นชื่อเริ่มแรกของ Facebook เปิดตัวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004 ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ นักศึกษาครึ่งหนึ่งของ Harvard ลงทะเบียนในเว็บแห่งนี้ และเพิ่มเป็น 2 ใน 3 ของนักศึกษา Harvard ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นเริ่มติดต่อ Zuckerberg ขอให้ทำหนังสือรุ่นออนไลน์ให้แก่มหาวิทยาลัยของพวกเขาบ้าง จึงเกิดพื้นที่ใหม่ใน Facebook สำหรับ Stanford และ Yale ภายในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน โรงเรียนอีก 30 แห่งเข้าร่วมใน Facebook ตามมาด้วยโฆษณาที่เกี่ยวกับนักเรียนนักศึกษา และธุรกิจที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ทำให้เว็บชุมชนแห่งนี้ เริ่มสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์
Sean Parker ผู้ร่วมก่อตั้ง Napster โปรแกรม File-sharing ชื่อดัง ซึ่งหยุดชะงักไปเนื่องจากถูกอุตสาหกรรมเพลงและภาพยนตร์ฟ้องร้อง เป็นผู้ชักนำ Zuckerberg ให้ได้พบกับนักลงทุนรายใหญ่รายแรกคือ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และเป็นผู้บริหารกองทุนเก็งกำไร Clarium Capital และกองทุน Founders Fund ซึ่งลงทุนใน Facebook 500,000 ดอลลาร์ และทำให้ Zuckerberg มีโอกาสสร้างสายสัมพันธ์ใน Silicon Valley
ในเดือน พฤศจิกายนปี 2004 Facebook มีจำนวนผู้เข้าชมทะลุระดับ 1 ล้านคน 6 เดือนต่อจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของ Thiel ทำให้ Zuckerberg ได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก 12.7 ล้านดอลลาร์จาก Accel Partners ทำให้เขาสามารถว่างจ้างทัพวิศวกรรุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึง Steve Chen ผู้ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือนได้ร่วมก่อตั้ง YouTube ในปี 2005 Facebook มีผู้ใช้ที่เรียกว่า Active User 5 ล้านคน ซึ่งหมายถึงผู้ใช้ที่แวะเข้าเว็บแห่งนี้อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน
Monday, 24 August 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 ความคิดเห็น on "การแข่งขันทางการตลาดของ Facebook"
Post a Comment