เป็นรายงานของบริษัท Next Up! ที่แจกฟรีบนเว็บไซต์ SharesPost (ดาวน์โหลดได้ฟรีแต่ต้องลงทะเบียนก่อน) เป็นบทวิเคราะห์ทางการเงินของ Facebook แต่ก็พูดถึง Social Network ในภาพรวมด้วย เอาข้อมูลมาแปะบางส่วน
ชนิดของ Social Network
เป็นการจัดหมวดของ NextUp แบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ คือ
1. SNS ครอบจักรวาล (Facebook, MySpace)
2. ใช้งานซีเรียส เช่น LinkedIn, Xing
3. บล็อก/ไมโครบล็อก (Twitter)
อัตราการใช้งาน Social Network
Social Network ยังไม่ใช่บริการชนิดที่นิยมที่สุดบนเว็บ (อันดับ 4; อันดับ 1 คือ Search; คิดเป็น penetration rate คืออัตราต่อผู้ใช้เน็ตทั้งหมด) แต่ก็มีอัตราการเติบโตสูงกว่าอีเมลเป็นเท่าตัว
จำนวนผู้ชม-ใช้งานแต่ละเว็บ
จำนวนสมาชิก ประเมินโดย ComScore และข้อมูลจาก NextUp เอง ข้อมูลถึงเดือนมีนาคม 2009
ผู้ชมเว็บ วัดเป็น UIP ประเมินโดย comScore เช่นเดิม จะเห็นว่า Facebook เริ่มฉีกตัวจาก MySpace, Friendster ลดลง และ Twitter เพิ่มอย่างก้าวกระโดด
เปรียบเทียบอัตราการใช้งาน Facebook กับ Social Network อื่นๆ ในท้องตลาด
• ผู้ใช้ Facebook เติบโต 170% เมื่อเทียบกับปี 2008 ถ้าคิดเป็นระยะเวลาการใช้งานก็โตใกล้เคียงกันคือ 182%
• Twitter อัตราการเติบโตสูงมาก 1400% แต่เทียบเป็นจำนวนทั้งหมดแล้วยังน้อยอยู่
• Xiaonei ของจีนก็มีอัตราการเติบโตสูงเช่นกัน 197%
• LinkedIn มาเรื่อยๆ เก็บตลาดของตัวเองได้ครบ ส่วน Xing แป๊กเลย
โครงสร้างอายุ
NextUp วิเคราะห์ว่า Facebook จับใจประชากรทุกหมู่เหล่ามากกว่า (โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่) ในขณะที่ Orkut, Friendster, Hi5 นั้นเห็นชัดเจนว่าจับประชากรกลุ่มเด็กและวัยรุ่น มีส่วนที่เป็นผู้ใหญ่น้อย (ในแง่การตลาดก็อาจจะไม่ดีเท่าไร เพราะเป็นกลุ่มรายได้น้อย)
ส่วนแบ่งตลาด
แม้ว่า Facebook จะได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก แต่ก็ยังเจาะตลาดหลายๆ ประเทศไม่เข้า
• Facebook เป็นแชมป์ในประเทศตะวันตกเกือบทุกแห่ง ยกเว้นอเมริกา MySpace ยังเป็นแชมป์อยู่
• เอเชียตะวันออก ใช้ Social Network ของตัวเอง
• รัสเซีย บราซิล อินเดีย จีน (กลุ่ม BRIC) เป็นประเทศที่ Facebook เจาะแทบไม่เข้าเลย
ตารางเปรียบเทียบเฉพาะประเทศกลุ่ม BRIC ซึ่งมีประชากรรวมกันเยอะมาก
เปลี่ยนตารางอันแรกมาเป็นกราฟใยแมงมุม โดยเทียบสัดส่วนผู้ใช้ Facebook กับสัดส่วนผู้ใช้เน็ตทั้งประเทศ บราซิลกับญี่ปุ่นนี่แหว่งไปเลย
รายได้
โครงสร้างรายได้ของ Social Network ทั่วโลก จะเห็นว่าค่ายเอเชียถึงแม้จะมีคนใช้รวมไม่มาก แต่กินตลาดในประเทศตัวเองได้ แถมมีรายได้มากพอสมควรอีกต่างหาก
ถ้าเทียบกับ MySpace แล้ว Facebook ยังเป็นรองเรื่องรายได้เช่นกัน แม้ว่าจะมีคนใช้เยอะกว่า ตรงจุดนี้เข้าใจว่าเป็นเพราะ MySpace Music ซึ่งเป็นฟีเจอร์จุดขายของ MySpace ด้วยส่วนหนึ่ง คือถึงคนน้อยแต่ก็มีจุดขายชัดเจน
Friday, 28 August 2009
Monday, 24 August 2009
Facebook เตรียมออก version Lite
เป็นข่าว Talk ระดับหนึงของคนวงการ Social Network ของต่างประเทศ เกี่ยวกับการเตรียมเปิดตัวของ Facebook ในเวอร์ชั่น Lite
Facebook เวอร์ชั่น Lite นี้ ยังเป็นฉบับทดลองให้กับคนที่ได้รับเชิญเท่านั้น สำหรับเวอร์ชั่นนี้ออกมาเพื่อให้เราได้ใช้งาน Facebook แบบรวดเร็ว และง่ายกว่า ซึ่งวิธีการทำงานจะคล้ายๆ กับเวอร์ชั่นโทรศัพท์มือถือที่เราใช้ผ่าน Smartphone นั่นเอง
ส่วนหน้าตาก็ตาม screenshot ด้านล่างนี้เลย ซึ่งตอนนี้กำลังถูกเหล่า bloggers ในอเมริกาวิพากษ์วิจารย์กันหนาหู ว่าหน้าตาและการใช้งานช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ Friendfeed และ Twitter เอามากๆ แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ Facebook ขอซื้อ Friendsfeed ในราคาประมาณ 50 ล้านดอลล่าร์เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาก็ได้
จากคำบอกกล่าวของ Paul Buchheit, CEO ของ Friendfeed บอกไว้ว่า ‘การออก Facebook Lite นั้น เป็นดังคำยืนยันว่า Facebook ได้ทำตามสัญญา ที่ให้ไว้’ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Facebook มีแผนการทำเวอร์ชั่น Lite มาสักพักหนึ่ง และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลของการขอซื้อ Twitter หรือ Friendsfeed นั่นเอง
Facebook เวอร์ชั่น Lite นี้ ยังเป็นฉบับทดลองให้กับคนที่ได้รับเชิญเท่านั้น สำหรับเวอร์ชั่นนี้ออกมาเพื่อให้เราได้ใช้งาน Facebook แบบรวดเร็ว และง่ายกว่า ซึ่งวิธีการทำงานจะคล้ายๆ กับเวอร์ชั่นโทรศัพท์มือถือที่เราใช้ผ่าน Smartphone นั่นเอง
ส่วนหน้าตาก็ตาม screenshot ด้านล่างนี้เลย ซึ่งตอนนี้กำลังถูกเหล่า bloggers ในอเมริกาวิพากษ์วิจารย์กันหนาหู ว่าหน้าตาและการใช้งานช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ Friendfeed และ Twitter เอามากๆ แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ Facebook ขอซื้อ Friendsfeed ในราคาประมาณ 50 ล้านดอลล่าร์เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาก็ได้
จากคำบอกกล่าวของ Paul Buchheit, CEO ของ Friendfeed บอกไว้ว่า ‘การออก Facebook Lite นั้น เป็นดังคำยืนยันว่า Facebook ได้ทำตามสัญญา ที่ให้ไว้’ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Facebook มีแผนการทำเวอร์ชั่น Lite มาสักพักหนึ่ง และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลของการขอซื้อ Twitter หรือ Friendsfeed นั่นเอง
Facebook ครองแชมป์ Social Network เรียบร้อยแล้ว
เมื่อสองสัปดาห์ก่อน Marketing Oops! เพิ่งจะอัพเดทตัวเลขล่าสุดของ Top 20 Social Network in 2008 โดยมี Myspace ครองอันดับหนึ่ง Social network site และ Facebook ไล่ตามมาติดๆมาวันนี้ ตัวเลข stat เดือนล่าสุด (ม.ค. 2009) แสดงอย่างชัดเจนว่า Facebook แซง Myspace ไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะใหญ่กว่า Myspace ราว 20%
ดูเหมือนตัวเลขจะมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ใช้ Facebook ในแต่ละเดือนนั้นเป็นหลัก 10 ล้าน และมากกว่า Myspace เสียด้วย
หากเปรียบตัวเลขเดือน ธ.ค. 2008 กับ ม.ค. 2009 Facebook โตขึ้นไปอีก 14.9% มีผู้ใช้ทั้งหมด 68.5 ล้านคนทั่วโลก ในขณะที่ Myspace มี 58.5 ล้านคน
ส่วน Twitter ถ้าหากเปรียบกับพี่ใใหญ่ทั้งสอง ก็ยังคงดูตัวเล็กอยู่ แต่อัตราการเติบโตนั้นแรงพอดู คือ 812.7% จากปี 2007 – 2008 และเติบโต 34.7% จาก ธ.ค. 2008 - ม.ค. 2009 รวมตัวเลขผู้ใช้ทั้งหมด 5.9 ล้านคนทั่วโลก (ตัวเลขเดือนม.ค. 2009)
เพียงแค่หนึ่งเดือนผ่านไป ตัวเลข social network ก็เติบโตสวนวิกฤติเศรษฐกิจ ลองคิดดูสิว่า สิ้นปี 2009 ตัวเลขผู้ใช้จะขนาดไหน..
ตัวเลขเปรียบเทียบ Unique Visitors รายเดือนของ Facebook, Myspace และ Twitter
ดูเหมือนตัวเลขจะมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ใช้ Facebook ในแต่ละเดือนนั้นเป็นหลัก 10 ล้าน และมากกว่า Myspace เสียด้วย
หากเปรียบตัวเลขเดือน ธ.ค. 2008 กับ ม.ค. 2009 Facebook โตขึ้นไปอีก 14.9% มีผู้ใช้ทั้งหมด 68.5 ล้านคนทั่วโลก ในขณะที่ Myspace มี 58.5 ล้านคน
ส่วน Twitter ถ้าหากเปรียบกับพี่ใใหญ่ทั้งสอง ก็ยังคงดูตัวเล็กอยู่ แต่อัตราการเติบโตนั้นแรงพอดู คือ 812.7% จากปี 2007 – 2008 และเติบโต 34.7% จาก ธ.ค. 2008 - ม.ค. 2009 รวมตัวเลขผู้ใช้ทั้งหมด 5.9 ล้านคนทั่วโลก (ตัวเลขเดือนม.ค. 2009)
เพียงแค่หนึ่งเดือนผ่านไป ตัวเลข social network ก็เติบโตสวนวิกฤติเศรษฐกิจ ลองคิดดูสิว่า สิ้นปี 2009 ตัวเลขผู้ใช้จะขนาดไหน..
ตัวเลขเปรียบเทียบ Unique Visitors รายเดือนของ Facebook, Myspace และ Twitter
จับคนหลงตัวเองด้วย Facebook
การศึกษาใหม่จากมหาวิทยาลัยจอร์เจียระบุว่าเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ (online social network) เช่น Facebook เป็นเครื่องมืออย่างดีในการจับว่าใครหลงตัวเอง นักวิจัยพบว่าคนที่หลงตัวเองจะใช้ facebook เพื่อนำเสนอตัวเองด้วยแนวที่คนอื่นสามารถจับได้ งานวิจัยนี้จะตีพิมพ์ลงวารสาร Personality and Social Psychology Bulletin ซึ่งทำการศึกษาโดยให้ผู้ใช้ Facebook กว่า 130 คนตอบแบบสอบถาม และวิเคราะห์เนื้อหาในหน้า facebook และที่มีคนแปลกหน้าที่ไม่ไม่เคยเล่นมาดู และให้ให้คะแนนความประทับใจของตัวเองตามความหลงตัวเองในหน้านั้น
นักวิจัยพบว่า จำนวนเพื่อใน facebook และการเขียนเรื่องราวของแต่ละคนในหน้าข้อมูลของตัวเองมีความสัมพันธ์กับความหลงตัวเอง ซึ่งมีความสอดคล้องกับความหลงตัวเองในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย ด้วยการมีความสัมพันธ์จำนวนมากที่ไม่มีความลึกซึ้ง ความหลงตัวเองยังดูออกจาการเลือกภาพที่มีเสน่ห์หรือภาพนำเสนอตัวเองในหน้าข้อมูลส่วนตัว โดยคนอื่นจะใช้เพียงรูปถ่ายธรรมดา
ผู้ที่ไม่เคยใช้สามารถจับความหลงตัวเองนี้ได้ด้วย นักวิจัยพบว่าคนที่มองจะใช้รูปแบบ 3 ประการในการมองคือ ปริมาณปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความหน้าดึงดูดใจของแต่ละคน และ ระดับการนำเสนอตัวในรูปถ่ายหลัก เพื่อระบุความประทับใจในบุคคิกของแต่ละคน ผลที่ได้แม้่ว่าจะไม่สมบูรณ์แต่ก็แสดงให้เห็นความละเอียดในการตัดสินบางอย่างได้
ความหลงตัวเองเป็นการแสดงออกความน่าสนใจอย่างหนึ่ง เพราะมันหยุดความสัมพันธ์ระยะยาว และความสามารถที่ดีไป ความหลงตัวเองมักเริ่มต้นด้วยเสน่ห์แต่มักจบลงเมื่อตัวเองได้ผลประโยชน์นั้น ความหลงตัวเองทำร้ายคนไปทั่วและจะทำร้ายตัวเองในระยะยาว
การเจริญเติบโตที่ใหญ่โตของเว็บไซต์เครือข่ายสังคม อย่างเช่น Facebook ที่มียอดคนใช้กว่า 100 ล้านคนในตอนนี้ ทำให้นักจิตวิทยาสินใจการแสดงออกของบุคลิกส่วนตัวของคนผ่านอินเทอร์เนต นักวิจัยเลือก facebook เพราะว่ามีความนิยมสูงในนักศึกษามหาวิทยาลัยและเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้ใช้ง่ายขึ้นจนทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้เปรียบเทียบหน้าของแต่ละคนได้
นักวิจัยในอดีตบางคนพบว่าหน้าเว็บส่วนตัวเป็นที่นิยมมากในหมู่พวกหลงตัวเอง แต่นักวิจัยปัจจุบันระบุว่าไม่มีหลักฐานที่จะระบุว่าคนใช้ Facebook มีความหลงตัวเองมากกว่าคนอื่น นักศึกษาเกือบทั้งหมดใช้ Facebook และดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งพวกที่หลงตัวเองก็จะใช้ Facebook ในทางเดียวกับความสัมพันธ์ทางอื่น เพื่อนำเสนอตัวเองด้วยการเน้นย้ำปริมาณมากกว่าคุณภาพ
นักวิจัยย้ำว่าด้วยการที่พวกหลงตัวเองมีจำนวนเพื่อนเยอะใน Facebook ผู้ใช้ที่หลงตัวเอง Facebook จะมีเพื่อนออนไลน์เยอะกว่าจำนวนที่พวกหลงตัวเองมีเพื่อนในโลกจริง แต่ก็เป็นการด่วนสรุปเกินไปในการทำนายถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนำเสนอของคนธรรมดา ซึ่งการศึกษาสังคมออนไลน์นั้นเพิ่งเป็นจุดเริ่มต้น
เรามีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมใน 4 หรือ 5 ปีที่ผ่านมา และปัจจุบันนักศึกษาในอเมริกาส่วนใหญ่ก็ใช้ Facebook ในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ซึ่งนี้เป็นสิ่งใหม่ของสังคมออนไลน์ที่เราเพิ่งเริ่มต้นเข้าใจมัน
ที่มา - physorg.com
เอกสารอ้างอิง - Personality and Social Psychology Bulletin
นักวิจัยพบว่า จำนวนเพื่อใน facebook และการเขียนเรื่องราวของแต่ละคนในหน้าข้อมูลของตัวเองมีความสัมพันธ์กับความหลงตัวเอง ซึ่งมีความสอดคล้องกับความหลงตัวเองในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย ด้วยการมีความสัมพันธ์จำนวนมากที่ไม่มีความลึกซึ้ง ความหลงตัวเองยังดูออกจาการเลือกภาพที่มีเสน่ห์หรือภาพนำเสนอตัวเองในหน้าข้อมูลส่วนตัว โดยคนอื่นจะใช้เพียงรูปถ่ายธรรมดา
ผู้ที่ไม่เคยใช้สามารถจับความหลงตัวเองนี้ได้ด้วย นักวิจัยพบว่าคนที่มองจะใช้รูปแบบ 3 ประการในการมองคือ ปริมาณปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความหน้าดึงดูดใจของแต่ละคน และ ระดับการนำเสนอตัวในรูปถ่ายหลัก เพื่อระบุความประทับใจในบุคคิกของแต่ละคน ผลที่ได้แม้่ว่าจะไม่สมบูรณ์แต่ก็แสดงให้เห็นความละเอียดในการตัดสินบางอย่างได้
ความหลงตัวเองเป็นการแสดงออกความน่าสนใจอย่างหนึ่ง เพราะมันหยุดความสัมพันธ์ระยะยาว และความสามารถที่ดีไป ความหลงตัวเองมักเริ่มต้นด้วยเสน่ห์แต่มักจบลงเมื่อตัวเองได้ผลประโยชน์นั้น ความหลงตัวเองทำร้ายคนไปทั่วและจะทำร้ายตัวเองในระยะยาว
การเจริญเติบโตที่ใหญ่โตของเว็บไซต์เครือข่ายสังคม อย่างเช่น Facebook ที่มียอดคนใช้กว่า 100 ล้านคนในตอนนี้ ทำให้นักจิตวิทยาสินใจการแสดงออกของบุคลิกส่วนตัวของคนผ่านอินเทอร์เนต นักวิจัยเลือก facebook เพราะว่ามีความนิยมสูงในนักศึกษามหาวิทยาลัยและเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้ใช้ง่ายขึ้นจนทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้เปรียบเทียบหน้าของแต่ละคนได้
นักวิจัยในอดีตบางคนพบว่าหน้าเว็บส่วนตัวเป็นที่นิยมมากในหมู่พวกหลงตัวเอง แต่นักวิจัยปัจจุบันระบุว่าไม่มีหลักฐานที่จะระบุว่าคนใช้ Facebook มีความหลงตัวเองมากกว่าคนอื่น นักศึกษาเกือบทั้งหมดใช้ Facebook และดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งพวกที่หลงตัวเองก็จะใช้ Facebook ในทางเดียวกับความสัมพันธ์ทางอื่น เพื่อนำเสนอตัวเองด้วยการเน้นย้ำปริมาณมากกว่าคุณภาพ
นักวิจัยย้ำว่าด้วยการที่พวกหลงตัวเองมีจำนวนเพื่อนเยอะใน Facebook ผู้ใช้ที่หลงตัวเอง Facebook จะมีเพื่อนออนไลน์เยอะกว่าจำนวนที่พวกหลงตัวเองมีเพื่อนในโลกจริง แต่ก็เป็นการด่วนสรุปเกินไปในการทำนายถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนำเสนอของคนธรรมดา ซึ่งการศึกษาสังคมออนไลน์นั้นเพิ่งเป็นจุดเริ่มต้น
เรามีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมใน 4 หรือ 5 ปีที่ผ่านมา และปัจจุบันนักศึกษาในอเมริกาส่วนใหญ่ก็ใช้ Facebook ในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ซึ่งนี้เป็นสิ่งใหม่ของสังคมออนไลน์ที่เราเพิ่งเริ่มต้นเข้าใจมัน
ที่มา - physorg.com
เอกสารอ้างอิง - Personality and Social Psychology Bulletin
อะไรที่ทำให้ facebook มาแรงแซงโค้งขนาดนี้ ?
คำตอบคือความง่าย (friendly user) และสนองตอบความในใจ (consumer insight) ของผู้บริโภคได้ตรงจุดนั่นแหละครับ
ฟังก์ชั่นในเฟซบุ๊กสามารถแลกเปลี่ยน, พูดคุย, แสดงความเห็น, แบ่ง ปันข้อมูล กับเครือข่ายของเราและเครือข่ายของเพื่อนที่มีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกันโดยไม่ยุ่งยาก ด้วยลูกเล่นต่างๆ ทั้งแบบสอบถามขำๆ รูปสวยๆ ข้อความดีๆ ที่ใครไม่รู้ส่งมาให้ แต่สุดท้ายก็คือเพื่อนของเพื่อนเรานั่นเอง
สิ่งสำคัญ คือ facebook สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เป็น ชุมชนออนไลน์เพื่อรวบรวมข้อมูลเพื่อนๆ เหมือนหนังสือรุ่น จึงถูกวางกฎเกณฑ์ให้เหมือนโลกที่เป็นจริง คนที่จะเป็นสมาชิกต้องใช้ชื่อนาม-สกุลจริง และอีเมลเดียวกันในการลงทะเบียน เพื่อการันตีการมีตัวตนอยู่จริง ในขณะที่ชุมชนออนไลน์อื่นสามารถใช้ชื่อสมมติลงทะเบียน จึงเป็นได้แค่เครื่องมือที่ทำให้เจอคนใหม่ๆ บนโลกออนไลน์แค่นั้น
ความน่าเชื่อถือของผู้คนในชุมชนนี้ จึงไปสอดรับกับจุดขายของ face book ที่ยกเอาเรื่องการจัดวางระดับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่หลากหลายในชีวิตจริงมาไว้ในโลกออนไลน์อย่างเห็นผล
facebook จึงกลายเป็นชุมชนออนไลน์ที่แข็งแรง และขยายตัวจากกลุ่มวัยรุ่นสู่กลุ่มอายุหลากหลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งที่ social network อื่นให้ไม่ได้ ทำให้คนทั้งโลกติดหนึบอยู่หน้าคอมพ์เฉลี่ยเดือนละ 169 ชั่วโมง
ในบ้านเรา ตามข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน ที่รายงานไว้ใน check facebook.com บอกว่าไทยมีสมาชิก facebook 632,520 คน เป็นผู้ชาย 42.5% ผู้หญิง 57.5% กลุ่มอายุ 18-24 ยังเป็นกลุ่มหลัก 38.5% ใกล้เคียงกับกลุ่มอายุ 25-34 36.6% ตามมาด้วยกลุ่มอายุ 35-44 10.1% ส่วนกลุ่มวัยรุ่น 14-17 ปี ใช้น้อยมาก 8.9%
จากข้อมูลเห็นชัดเจนว่า facebook เติบโตในกลุ่มของนักศึกษาและ วัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพทางการตลาดสูง สอดคล้องกับเทรนด์ของ facebook ในประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ จากคุณสมบัติใช้งานง่ายและสมาชิกมีตัวตนจริง ทำให้ facebook ในกลุ่มคนทำงาน 35-49 ปี มีอัตราการเติบโตมากกว่ากลุ่ม 18-34 ปี เพราะคนกลุ่มนี้ใช้ social network เป็นพื้นที่ในการพูดคุยและขยายฐานธุรกิจจากเครือข่ายใน facebook ด้วย
สิ่งที่ตามมา เมื่อกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ facebook จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการตลาดที่พยายามสร้างการรับรู้แบรนด์ของตนให้อยู่ท่ามกลางการขยายความสัมพันธ์ของเครือข่ายที่แข็ง แรงทั้งทางตรงคือ การซื้อแบนเนอร์โฆษณา และทางอ้อมคือการตั้งเครือข่ายของสินค้าสื่อสารถึงผู้บริโภคผ่านกระดานสนทนาเพื่อหวังสร้างความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค อย่างน้อยการพูดคุยโต้ตอบ กับเพื่อนในเครือข่ายของลูกค้าเก่าวันละหนึ่งคน อานุภาพของ social network ก็จะทำให้มีคนรู้จักแบรนด์ของเราเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบ และถ้ามีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นแค่หนึ่ง ก็ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ฟังก์ชั่นในเฟซบุ๊กสามารถแลกเปลี่ยน, พูดคุย, แสดงความเห็น, แบ่ง ปันข้อมูล กับเครือข่ายของเราและเครือข่ายของเพื่อนที่มีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกันโดยไม่ยุ่งยาก ด้วยลูกเล่นต่างๆ ทั้งแบบสอบถามขำๆ รูปสวยๆ ข้อความดีๆ ที่ใครไม่รู้ส่งมาให้ แต่สุดท้ายก็คือเพื่อนของเพื่อนเรานั่นเอง
สิ่งสำคัญ คือ facebook สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เป็น ชุมชนออนไลน์เพื่อรวบรวมข้อมูลเพื่อนๆ เหมือนหนังสือรุ่น จึงถูกวางกฎเกณฑ์ให้เหมือนโลกที่เป็นจริง คนที่จะเป็นสมาชิกต้องใช้ชื่อนาม-สกุลจริง และอีเมลเดียวกันในการลงทะเบียน เพื่อการันตีการมีตัวตนอยู่จริง ในขณะที่ชุมชนออนไลน์อื่นสามารถใช้ชื่อสมมติลงทะเบียน จึงเป็นได้แค่เครื่องมือที่ทำให้เจอคนใหม่ๆ บนโลกออนไลน์แค่นั้น
ความน่าเชื่อถือของผู้คนในชุมชนนี้ จึงไปสอดรับกับจุดขายของ face book ที่ยกเอาเรื่องการจัดวางระดับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่หลากหลายในชีวิตจริงมาไว้ในโลกออนไลน์อย่างเห็นผล
facebook จึงกลายเป็นชุมชนออนไลน์ที่แข็งแรง และขยายตัวจากกลุ่มวัยรุ่นสู่กลุ่มอายุหลากหลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งที่ social network อื่นให้ไม่ได้ ทำให้คนทั้งโลกติดหนึบอยู่หน้าคอมพ์เฉลี่ยเดือนละ 169 ชั่วโมง
ในบ้านเรา ตามข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน ที่รายงานไว้ใน check facebook.com บอกว่าไทยมีสมาชิก facebook 632,520 คน เป็นผู้ชาย 42.5% ผู้หญิง 57.5% กลุ่มอายุ 18-24 ยังเป็นกลุ่มหลัก 38.5% ใกล้เคียงกับกลุ่มอายุ 25-34 36.6% ตามมาด้วยกลุ่มอายุ 35-44 10.1% ส่วนกลุ่มวัยรุ่น 14-17 ปี ใช้น้อยมาก 8.9%
จากข้อมูลเห็นชัดเจนว่า facebook เติบโตในกลุ่มของนักศึกษาและ วัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพทางการตลาดสูง สอดคล้องกับเทรนด์ของ facebook ในประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ จากคุณสมบัติใช้งานง่ายและสมาชิกมีตัวตนจริง ทำให้ facebook ในกลุ่มคนทำงาน 35-49 ปี มีอัตราการเติบโตมากกว่ากลุ่ม 18-34 ปี เพราะคนกลุ่มนี้ใช้ social network เป็นพื้นที่ในการพูดคุยและขยายฐานธุรกิจจากเครือข่ายใน facebook ด้วย
สิ่งที่ตามมา เมื่อกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ facebook จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการตลาดที่พยายามสร้างการรับรู้แบรนด์ของตนให้อยู่ท่ามกลางการขยายความสัมพันธ์ของเครือข่ายที่แข็ง แรงทั้งทางตรงคือ การซื้อแบนเนอร์โฆษณา และทางอ้อมคือการตั้งเครือข่ายของสินค้าสื่อสารถึงผู้บริโภคผ่านกระดานสนทนาเพื่อหวังสร้างความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค อย่างน้อยการพูดคุยโต้ตอบ กับเพื่อนในเครือข่ายของลูกค้าเก่าวันละหนึ่งคน อานุภาพของ social network ก็จะทำให้มีคนรู้จักแบรนด์ของเราเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบ และถ้ามีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นแค่หนึ่ง ก็ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
Facebook ในการเป็นเครื่องมือทางการตลาด
ไลฟ์สไตล์ของคนพ.ศ.นี้ ผูกติดกับโลกของไซเบอร์มากขึ้นทุกที Niel sen online เปิดเผยข้อมูลกิจกรรมยอดนิยมของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตล่าสุด บอกว่า การสืบค้นข้อมูลยังนำโด่ง ตามมาด้วยการเข้าเว็บไซต์ตามความสนใจและที่เติบโตแบบก้าวกระโดด คือการใช้เวลาใน social network หรือชุมชนออนไลน์ ที่แซงหน้าการเช็กอีเมลไปแล้วเรียบร้อย
ด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัว และเจาะจงกลุ่มที่มีความ ชอบแบบเดียวกันและสามารถขยายเครือข่ายไปสู่คนรอบตัวสร้างความสัมพันธ์แบบใยแมงมุม ทำให้ social network หรือชุมชนบนโลกออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่อย่างว่า โลกออนไลน์หมุนเร็วกว่าโลกใบไหนๆ เวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ อะไรที่ว่า in ก็ out เพียงข้ามวัน
เมื่อวานนี้ hi 5 ยังฮอตอยู่ดีๆ แต่วันนี้ก็ทำท่าจะเจอคู่แข่ง เพราะ social network ที่มาแรงของหมู่นักท่องเน็ตเมืองไทยในวินาทีนี้ มีชื่ออื่นแทรกขึ้นมาแทนที่ อย่างล่าสุด ทวิตเตอร์ (twitter) ก็กลายเป็นชื่อชุมชนออนไลน์แห่งใหม่ที่น่าจะฮอตในกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เปิดตัวพร้อมโฟนอินแซยิดของอดีตนายกฯ ทักษิณ แต่ที่โดดเด่นและมาแรงสุดๆ คงไม่มีเว็บไหนที่ฮอตเกินหน้า เฟซบุ๊ก (facebook) ไปได้อีกแล้ว
facebook เปิดตัวเมื่อปี 2547 แค่ 5 ปีมีสาวกทั่วโลกกว่า 175 ล้าน คน สำหรับบ้านเราเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายเมื่อสองปีที่แล้ว และมีอัตราการเติบโตสูงมากในปัจจุบัน จากเว็บไซต์ที่มีคนไทยเยี่ยมชม เป็นอันดับ 32 เมื่อตอนต้นปี 52 เวลาผ่านไปครึ่งปี facebook ทะยานพรวดสู่อันดับที่ 13 และทำท่าจะฮอตขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัว และเจาะจงกลุ่มที่มีความ ชอบแบบเดียวกันและสามารถขยายเครือข่ายไปสู่คนรอบตัวสร้างความสัมพันธ์แบบใยแมงมุม ทำให้ social network หรือชุมชนบนโลกออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่อย่างว่า โลกออนไลน์หมุนเร็วกว่าโลกใบไหนๆ เวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ อะไรที่ว่า in ก็ out เพียงข้ามวัน
เมื่อวานนี้ hi 5 ยังฮอตอยู่ดีๆ แต่วันนี้ก็ทำท่าจะเจอคู่แข่ง เพราะ social network ที่มาแรงของหมู่นักท่องเน็ตเมืองไทยในวินาทีนี้ มีชื่ออื่นแทรกขึ้นมาแทนที่ อย่างล่าสุด ทวิตเตอร์ (twitter) ก็กลายเป็นชื่อชุมชนออนไลน์แห่งใหม่ที่น่าจะฮอตในกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เปิดตัวพร้อมโฟนอินแซยิดของอดีตนายกฯ ทักษิณ แต่ที่โดดเด่นและมาแรงสุดๆ คงไม่มีเว็บไหนที่ฮอตเกินหน้า เฟซบุ๊ก (facebook) ไปได้อีกแล้ว
facebook เปิดตัวเมื่อปี 2547 แค่ 5 ปีมีสาวกทั่วโลกกว่า 175 ล้าน คน สำหรับบ้านเราเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายเมื่อสองปีที่แล้ว และมีอัตราการเติบโตสูงมากในปัจจุบัน จากเว็บไซต์ที่มีคนไทยเยี่ยมชม เป็นอันดับ 32 เมื่อตอนต้นปี 52 เวลาผ่านไปครึ่งปี facebook ทะยานพรวดสู่อันดับที่ 13 และทำท่าจะฮอตขึ้นเรื่อยๆ
59 ความจริงเกี่ยวกับ Facebook
1. 80% ของคนที่เรา add (แอด) มักเป็นคนที่เราไม่รู้จัก
2. อยากรู้เหมือนกันว่าคนต่างชาติ add เราที่เขียนทวิตเตอร์เป็นภาษาไทยเพราะอะไร
3. เคยมีคน add มาแล้วมาถามว่าเขียนอะไรหรอ? อ่านภาษาไทยไม่ออกด้วยล่ะ ( add มาเพื่อ ????)
4. คนส่วนใหญ่สร้างเฟสบุ๊คเพื่อเล่นเกมส์ ไม่ก็เล่นควิซ
5. ส่วนน้อยก็มีนะ เช่น สร้างไว้พูดคุยธรรมดากับเพื่อนฝูง หรือ จะใช้ไว้จีบสาวโดยเฉพาะ
6. เมื่อเจอคนที่มีเพื่อนร่วมกัน(ที่รู้จักเพื่อนของคุณ) ก็อาจจะแอบ add เขาไปด้วยเสมอ!!
7. หากมีคนที่ไม่ใช่เพื่อนที่คุณรู้จัก(เป็นการส่วนตัว)มาคอมเมนต์หรือกด like ให้เรามักจะไปที่หน้าเพจและอ่านประวัติเค้า ทันทีที่เห็น
8. คนมีแฟนส่วนใหญ่มักไม่ระบุสถานภาพของตัวเอง
9. (เว้นแต่จะรักกันจริง ๆ นะ....)
10. แต่ถ้าแฟนบังคับให้เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนละ ตาย!!!
11. 60 % เมื่อไม่พอใจกับคำตอบควิซ ก็จะเล่นใหม่จนกว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ (แล้วกด publish ซะ)
12. เรามักเล่นควิซจากที่คนอื่นเล่น (เพราะขี้เกียจหานั่นเอง)
13. รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นอีกด้วย เห็นเพื่อนใช้ เราก็ใช้ตามมั้ง
14. เกินกว่าครึ่งของควิซในเฟสบุ๊คมักไร้สาระ
15. (แต่ยังไง.. เราก็มันจะทำกันอยู่ดี =v=”)
16. ส่วนใหญ่ควิซที่ไร้สาระมีการแสดงความคิดเห็น มากกว่าควิซที่มีสาระเสมอ
17. Quiz ส่วนใหญ่ มักจะมี quiz ออกมาตามหนังหรือละครที่ดังๆ
18. บางคนจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็เล่นไว้ก่อน (จะเก็บยอดทำควิซรึไง -*-)
19. ไม่มีใครเล่นเกมบนเฟซบุ๊ค แล้วไม่รู้จักเกม Restaurant City (RC) (เพราะเป็นเกมเชิดหน้าชูตาของเฟซบุ๊กเลยนะเนี่ย)
20. ถ้าเป็นคนที่เล่นเกมส์ตระกูลปลูกผักทั้งหลาย ส่วนใหญ่ต้องขโมยผักคนอื่น ไม่ก็แอบวางยา
21. แล้วทำไม มันต้องมีโหมดนี้ด้วยเนอะ = ="
22. จะว่าไป... แกล้งคนอื่นก็สนุกดี (เฮ้ย!!!)
23. มีคนส่วนน้อยในไทยที่ใช้จ่ายเงินจริงเพื่อซื้อแต้มใช้เล่นเกม
24. (เว้นแต่คน ๆ นั้นจะรวย $_$)
25. 80% ที่เล่น happy farm มักไม่มีแถบแดงๆ
26. (แปลว่า ไม่เคยส่งดอกไม้หรือให้ดอกไม้คนอื่นกันเลย)
27. คนที่เล่น barn buddy มักจะเล่น happy farm หรือ FarmVille ด้วย
28. แต่พอเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง.. ก็ขี้เกียจเล่นอีกอย่างหนึ่ง
29. หรือไม่ก็เลิกเล่นเกมพวกนี้ไปเลย (ป๊าด~~~)
30. คนบางคนไม่รู้ว่า เมื่อเล่นควิซจบ หรือเล่นเกม ถ้าไม่ต้องส่งคำถามให้เพื่อนเล่นหรือ publish ให้กด Skip
31. (แต่มักจะหากันไม่เจอเลยกดยัดให้เพื่อนตอบแทน) < - - ลำบากกรูอีก
32. เหตุผลเพื่อ add คนไม่รู้จัก เพื่อเล่น RC ต้องการไอเท็มเพิ่ม (จากการเข้าร้านเพื่อนครั้งแรก) < --มันไม่ได้มีเกมเดียวนิ
33. เมื่อเกม RC จนเลเวลสูงแล้ว (Lv 20+) ก็จะเริ่มขี้เกียจเล่น
34. เพราะอัพเลเวลยากหลายเท่า TT^TT
35. 50% คนที่เล่น RC จะสมัครเว็บ playfish.in.th เพื่อใช้เล่นเกม RC โดยเฉพาะ (หาเพื่อน / แลกของ)
36. แต่ก็มีคน add คุณที่บอร์ดข้อ 35. นี้เยอะอยู่เหมือนกัน
37. เมื่อเกมใน playfish มี 4 เกม จะต้องมีเกมใดเกมหนึ่ง maintance อยู่ตลอด
38. สำหรับคนที่มีไอดีทวิสเตอร์ (twitter) มักจะ Feed ลงใน facebook
39. แต่ใครอยากรู้เรื่องส่วนตัวของคุณขนาดนั้นละ!!
40. (แม้แต่คนเขียนก็ feed กับเขาด้วย) < - - ขี้เกียจบ่นหลายที่ละมั้ง = =”
41. คนส่วนใหญ่มักกดปิด offline ในหน้า chat
42. (ก็เพื่อนมันออนเยอะ เลยขี้เกียจทัก)
43. ยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าเมื่ออัพรูปลงไปแล้วสามารถ tag เพื่อนของคุณได้นะ
44. เกือบ 100% ของคนที่รับปริญญาปีนี้ จะเอารูปตอนใส่ชุดครุยขึ้นเป็นรูปดิสเพลย์
45. ส่วนวัยรุ่นบางคนที่เปิดเผย แกจะก็ทำท่าซดโออิชิเป็นประจำ (ไม่เก็ตมุขคลิก)
46. เมื่อเราจัดการรีเควสไป ไม่ถึง 10 นาทีเดี๋ยวมันก็โผล่มาอีก
47. มีอีกหลายคนที่ไม่เคยใช้ note แถมไม่รู้ว่า note ใช้ทำอะไร?
48. "ของขวัญ" เป็นแอพพลิเคชั่นที่ถูกลืมมากที่สุด เพราะต้องเสียเงิน
49. เมื่อเล่นเกมในเฟซบุ๊คจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 10 นาที (เพราะเข้าปุ๊บติดเกมปั๊ป)
50. แทบไม่มี(คนไทย)เล่นเฟซบุ๊คบนมือถือ เพื่อใช้เล่นเกมกันหรอกนะ (ยกเว้นมือถือบางรุ่น ที่รองรับมั้ง)
51. เลยไปหันพึ่ง twitter ใช้บ่นแทน
52. เกมในเฟซบุ๊คไม่ขยายตามความกว้างตามหน้าจอ (เซ็ง)
53. คนเขียนชักเริ่มหมดมุขละ.... (เอาไงดี!!)
54. คิด ๆ ๆ .... (ไปห้องน้ำดีกว่า -..-) <-- ทำอะไรของแกวะ
55. 99.9% ของคนเขียน ต้องเปิดเฟซบุ๊คไปด้วย ไม่งั้นเขียนเรื่องไม่ได้ (0.01% คืออะไร - -?)
56. อีกซักพักคนเขียนจะติดเกมเฟซบุ๊คอีกรอบ (ระหว่างเขียนอยู่)
57. ใครที่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊คคงจะปิดเอนทรี่นี้ไปนานละ (กว่าจะถึงข้อนี้) <-- หลายคนบอกไม่ตรง เพราะฮาเลยมาอ่าน = ="
58. ใครที่เล่น facebook จะแอบ add ผมเข้าไปในเกมด้วย (จริงใช่มั๊ย?) facebook.com/cartoonst จะมีใครเห็นไหมเนี่ย~
59. สุดท้ายละ.... ใคร add ผมจากข้อ 58. เมื่อกี้ ยอมรับมาซะโดยดี
2. อยากรู้เหมือนกันว่าคนต่างชาติ add เราที่เขียนทวิตเตอร์เป็นภาษาไทยเพราะอะไร
3. เคยมีคน add มาแล้วมาถามว่าเขียนอะไรหรอ? อ่านภาษาไทยไม่ออกด้วยล่ะ ( add มาเพื่อ ????)
4. คนส่วนใหญ่สร้างเฟสบุ๊คเพื่อเล่นเกมส์ ไม่ก็เล่นควิซ
5. ส่วนน้อยก็มีนะ เช่น สร้างไว้พูดคุยธรรมดากับเพื่อนฝูง หรือ จะใช้ไว้จีบสาวโดยเฉพาะ
6. เมื่อเจอคนที่มีเพื่อนร่วมกัน(ที่รู้จักเพื่อนของคุณ) ก็อาจจะแอบ add เขาไปด้วยเสมอ!!
7. หากมีคนที่ไม่ใช่เพื่อนที่คุณรู้จัก(เป็นการส่วนตัว)มาคอมเมนต์หรือกด like ให้เรามักจะไปที่หน้าเพจและอ่านประวัติเค้า ทันทีที่เห็น
8. คนมีแฟนส่วนใหญ่มักไม่ระบุสถานภาพของตัวเอง
9. (เว้นแต่จะรักกันจริง ๆ นะ....)
10. แต่ถ้าแฟนบังคับให้เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนละ ตาย!!!
11. 60 % เมื่อไม่พอใจกับคำตอบควิซ ก็จะเล่นใหม่จนกว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ (แล้วกด publish ซะ)
12. เรามักเล่นควิซจากที่คนอื่นเล่น (เพราะขี้เกียจหานั่นเอง)
13. รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นอีกด้วย เห็นเพื่อนใช้ เราก็ใช้ตามมั้ง
14. เกินกว่าครึ่งของควิซในเฟสบุ๊คมักไร้สาระ
15. (แต่ยังไง.. เราก็มันจะทำกันอยู่ดี =v=”)
16. ส่วนใหญ่ควิซที่ไร้สาระมีการแสดงความคิดเห็น มากกว่าควิซที่มีสาระเสมอ
17. Quiz ส่วนใหญ่ มักจะมี quiz ออกมาตามหนังหรือละครที่ดังๆ
18. บางคนจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็เล่นไว้ก่อน (จะเก็บยอดทำควิซรึไง -*-)
19. ไม่มีใครเล่นเกมบนเฟซบุ๊ค แล้วไม่รู้จักเกม Restaurant City (RC) (เพราะเป็นเกมเชิดหน้าชูตาของเฟซบุ๊กเลยนะเนี่ย)
20. ถ้าเป็นคนที่เล่นเกมส์ตระกูลปลูกผักทั้งหลาย ส่วนใหญ่ต้องขโมยผักคนอื่น ไม่ก็แอบวางยา
21. แล้วทำไม มันต้องมีโหมดนี้ด้วยเนอะ = ="
22. จะว่าไป... แกล้งคนอื่นก็สนุกดี (เฮ้ย!!!)
23. มีคนส่วนน้อยในไทยที่ใช้จ่ายเงินจริงเพื่อซื้อแต้มใช้เล่นเกม
24. (เว้นแต่คน ๆ นั้นจะรวย $_$)
25. 80% ที่เล่น happy farm มักไม่มีแถบแดงๆ
26. (แปลว่า ไม่เคยส่งดอกไม้หรือให้ดอกไม้คนอื่นกันเลย)
27. คนที่เล่น barn buddy มักจะเล่น happy farm หรือ FarmVille ด้วย
28. แต่พอเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง.. ก็ขี้เกียจเล่นอีกอย่างหนึ่ง
29. หรือไม่ก็เลิกเล่นเกมพวกนี้ไปเลย (ป๊าด~~~)
30. คนบางคนไม่รู้ว่า เมื่อเล่นควิซจบ หรือเล่นเกม ถ้าไม่ต้องส่งคำถามให้เพื่อนเล่นหรือ publish ให้กด Skip
31. (แต่มักจะหากันไม่เจอเลยกดยัดให้เพื่อนตอบแทน) < - - ลำบากกรูอีก
32. เหตุผลเพื่อ add คนไม่รู้จัก เพื่อเล่น RC ต้องการไอเท็มเพิ่ม (จากการเข้าร้านเพื่อนครั้งแรก) < --มันไม่ได้มีเกมเดียวนิ
33. เมื่อเกม RC จนเลเวลสูงแล้ว (Lv 20+) ก็จะเริ่มขี้เกียจเล่น
34. เพราะอัพเลเวลยากหลายเท่า TT^TT
35. 50% คนที่เล่น RC จะสมัครเว็บ playfish.in.th เพื่อใช้เล่นเกม RC โดยเฉพาะ (หาเพื่อน / แลกของ)
36. แต่ก็มีคน add คุณที่บอร์ดข้อ 35. นี้เยอะอยู่เหมือนกัน
37. เมื่อเกมใน playfish มี 4 เกม จะต้องมีเกมใดเกมหนึ่ง maintance อยู่ตลอด
38. สำหรับคนที่มีไอดีทวิสเตอร์ (twitter) มักจะ Feed ลงใน facebook
39. แต่ใครอยากรู้เรื่องส่วนตัวของคุณขนาดนั้นละ!!
40. (แม้แต่คนเขียนก็ feed กับเขาด้วย) < - - ขี้เกียจบ่นหลายที่ละมั้ง = =”
41. คนส่วนใหญ่มักกดปิด offline ในหน้า chat
42. (ก็เพื่อนมันออนเยอะ เลยขี้เกียจทัก)
43. ยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าเมื่ออัพรูปลงไปแล้วสามารถ tag เพื่อนของคุณได้นะ
44. เกือบ 100% ของคนที่รับปริญญาปีนี้ จะเอารูปตอนใส่ชุดครุยขึ้นเป็นรูปดิสเพลย์
45. ส่วนวัยรุ่นบางคนที่เปิดเผย แกจะก็ทำท่าซดโออิชิเป็นประจำ (ไม่เก็ตมุขคลิก)
46. เมื่อเราจัดการรีเควสไป ไม่ถึง 10 นาทีเดี๋ยวมันก็โผล่มาอีก
47. มีอีกหลายคนที่ไม่เคยใช้ note แถมไม่รู้ว่า note ใช้ทำอะไร?
48. "ของขวัญ" เป็นแอพพลิเคชั่นที่ถูกลืมมากที่สุด เพราะต้องเสียเงิน
49. เมื่อเล่นเกมในเฟซบุ๊คจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 10 นาที (เพราะเข้าปุ๊บติดเกมปั๊ป)
50. แทบไม่มี(คนไทย)เล่นเฟซบุ๊คบนมือถือ เพื่อใช้เล่นเกมกันหรอกนะ (ยกเว้นมือถือบางรุ่น ที่รองรับมั้ง)
51. เลยไปหันพึ่ง twitter ใช้บ่นแทน
52. เกมในเฟซบุ๊คไม่ขยายตามความกว้างตามหน้าจอ (เซ็ง)
53. คนเขียนชักเริ่มหมดมุขละ.... (เอาไงดี!!)
54. คิด ๆ ๆ .... (ไปห้องน้ำดีกว่า -..-) <-- ทำอะไรของแกวะ
55. 99.9% ของคนเขียน ต้องเปิดเฟซบุ๊คไปด้วย ไม่งั้นเขียนเรื่องไม่ได้ (0.01% คืออะไร - -?)
56. อีกซักพักคนเขียนจะติดเกมเฟซบุ๊คอีกรอบ (ระหว่างเขียนอยู่)
57. ใครที่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊คคงจะปิดเอนทรี่นี้ไปนานละ (กว่าจะถึงข้อนี้) <-- หลายคนบอกไม่ตรง เพราะฮาเลยมาอ่าน = ="
58. ใครที่เล่น facebook จะแอบ add ผมเข้าไปในเกมด้วย (จริงใช่มั๊ย?) facebook.com/cartoonst จะมีใครเห็นไหมเนี่ย~
59. สุดท้ายละ.... ใคร add ผมจากข้อ 58. เมื่อกี้ ยอมรับมาซะโดยดี
การใช้งาน Social Network ตามกลุ่มอายุ-เหตุผลที่ใช้
Posted in Findings by markpeak on 1 สิงหาคม 2009 **เปรียบเทียบข้อมูล 2008 กับ 2009
งานวิจัยจากบริษัท Anderson Analytics วิเคราะห์การใช้งาน Facebook และ social network ของกลุ่มอายุต่างๆ ในสหรัฐ
Anderson แยกกลุ่มอายุโดยใช้ชื่อเรียก ดังนี้
• Gen Z = 13-14 ปี
• Gen Y = 15-29 ปี
• Gen X = 30-44 ปี
• Baby Boomer = 45-65 ปี (เกิดในยุคเบบี้บูม)
• WWII = 65 ปีขึ้นไป (ทันสงครามโลกครั้งที่สอง)
ผลการสำรวจอันแรกคือ การใช้ Social Network 4 ยี่ห้อ (Facebook/MySpace/Twitter/LinkedIn) ของแต่ละกลุ่มอายุ พบว่า
• Gen Y/Z นิยมใช้ MySpace มากกว่า Facebook และใช้ Twitter/LinkedIn น้อยมาก
• LinkedIn สำหรับธุรกิจจริงๆ ดังนั้นนิยมในคนที่กำลังทำงานอยู่ (เด็กไปหรือแก่ไปจะไม่สนใจ)
• ยิ่งคนอายุเยอะ ยิ่งใช้ Facebook มากกว่า MySpace กลุ่มคนแก่ใช้ MySpace น้อยมาก
ผลการสำรวจที่สอง เหตุผลที่ใช้ Social Network ของแต่ละกลุ่มอายุ
• รุ่นเด็กนิยมใช้ social network เพื่อติดต่อกับเพื่อน และใช้เอามันส์เป็นหลัก
• ส่วนรุ่นใหญ่มักจะใช้ติดต่อกับคนในครอบครัวมากกว่ารุ่นเด็ก
• รุ่นใหญ่มักจะได้รับคำเชิญให้ใช้ social network จากคนอื่นๆ
• Gen Y/Z ซึ่งกำลังเรียนอยู่ ใช้ social network ติดต่อกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วย
• การใช้ social network เพื่อเหตุผลด้านการงาน อาชีพ ธุรกิจ ยังไม่เยอะนัก
• เหตุผลอันดับหนึ่งที่ใช้ social network คือติดต่อกับเพื่อนๆ ตามมาด้วย เอามันส์ และติดต่อกับครอบครัว
ความคืบหน้าล่าสุด
เป็นที่ทราบกันดีว่า สังเวียน Social Networking ของโลกกำลังร้อนระอุ จากการโต้ตอบกันระหว่างสองยักษ์ คือ Google ยักษ์ใหญ่โลกออนไลน์ กับ Facebook ผู้นำหมายเลขสองของตลาด Social Networking
ผู้คร่ำหวอดและคนที่คอยสังเกตการณ์ มาตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ Facebook ได้เปิด Platform ของตัวเองให้นักพัฒนาโปรแกรมจากทั่วโลก เข้ามาใช้ในการทำมาหากิน (เหมือนเป็นเปิดตลาด ให้พ่อค่าแม่ค้าเอาสินค้ามาขายคนเดินตลาด) ด้วยเหตุผลนี้ รวมกับการเปิดให้คนจากทั่วโลกเข้ามาลงทะเบียนใช้บริการได้ซึงจากเดิมจำกัดเฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐเพียงอย่างเดียว ทำให้ช่วงนั้น ใครๆก็คิดว่า Facebook คงจะเอาชนะ Myspace ได้ในอีกไม่นาน ทั้งที่ ณ ตอนนั้น ตัวเลขผู้ใช้ของ Myspace ราวๆ 150 ล้าน และของ Facebook ราวๆ 30 ล้านได้ ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วต่างกันถึง 5 เท่า!
(ที่มา: Worawisut.in.th)
งานวิจัยจากบริษัท Anderson Analytics วิเคราะห์การใช้งาน Facebook และ social network ของกลุ่มอายุต่างๆ ในสหรัฐ
Anderson แยกกลุ่มอายุโดยใช้ชื่อเรียก ดังนี้
• Gen Z = 13-14 ปี
• Gen Y = 15-29 ปี
• Gen X = 30-44 ปี
• Baby Boomer = 45-65 ปี (เกิดในยุคเบบี้บูม)
• WWII = 65 ปีขึ้นไป (ทันสงครามโลกครั้งที่สอง)
ผลการสำรวจอันแรกคือ การใช้ Social Network 4 ยี่ห้อ (Facebook/MySpace/Twitter/LinkedIn) ของแต่ละกลุ่มอายุ พบว่า
• Gen Y/Z นิยมใช้ MySpace มากกว่า Facebook และใช้ Twitter/LinkedIn น้อยมาก
• LinkedIn สำหรับธุรกิจจริงๆ ดังนั้นนิยมในคนที่กำลังทำงานอยู่ (เด็กไปหรือแก่ไปจะไม่สนใจ)
• ยิ่งคนอายุเยอะ ยิ่งใช้ Facebook มากกว่า MySpace กลุ่มคนแก่ใช้ MySpace น้อยมาก
ผลการสำรวจที่สอง เหตุผลที่ใช้ Social Network ของแต่ละกลุ่มอายุ
• รุ่นเด็กนิยมใช้ social network เพื่อติดต่อกับเพื่อน และใช้เอามันส์เป็นหลัก
• ส่วนรุ่นใหญ่มักจะใช้ติดต่อกับคนในครอบครัวมากกว่ารุ่นเด็ก
• รุ่นใหญ่มักจะได้รับคำเชิญให้ใช้ social network จากคนอื่นๆ
• Gen Y/Z ซึ่งกำลังเรียนอยู่ ใช้ social network ติดต่อกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วย
• การใช้ social network เพื่อเหตุผลด้านการงาน อาชีพ ธุรกิจ ยังไม่เยอะนัก
• เหตุผลอันดับหนึ่งที่ใช้ social network คือติดต่อกับเพื่อนๆ ตามมาด้วย เอามันส์ และติดต่อกับครอบครัว
ความคืบหน้าล่าสุด
เป็นที่ทราบกันดีว่า สังเวียน Social Networking ของโลกกำลังร้อนระอุ จากการโต้ตอบกันระหว่างสองยักษ์ คือ Google ยักษ์ใหญ่โลกออนไลน์ กับ Facebook ผู้นำหมายเลขสองของตลาด Social Networking
ผู้คร่ำหวอดและคนที่คอยสังเกตการณ์ มาตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ Facebook ได้เปิด Platform ของตัวเองให้นักพัฒนาโปรแกรมจากทั่วโลก เข้ามาใช้ในการทำมาหากิน (เหมือนเป็นเปิดตลาด ให้พ่อค่าแม่ค้าเอาสินค้ามาขายคนเดินตลาด) ด้วยเหตุผลนี้ รวมกับการเปิดให้คนจากทั่วโลกเข้ามาลงทะเบียนใช้บริการได้ซึงจากเดิมจำกัดเฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐเพียงอย่างเดียว ทำให้ช่วงนั้น ใครๆก็คิดว่า Facebook คงจะเอาชนะ Myspace ได้ในอีกไม่นาน ทั้งที่ ณ ตอนนั้น ตัวเลขผู้ใช้ของ Myspace ราวๆ 150 ล้าน และของ Facebook ราวๆ 30 ล้านได้ ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วต่างกันถึง 5 เท่า!
(ที่มา: Worawisut.in.th)
ขั้นตอนการสมัคร Facebook
บทความจะเป็นเรื่องของมือใหม่จริงๆ คือคนที่ไม่เคยมีเฟซบุ๊ค และไม่เคยเล่นพวกเว็บ social network มาก่อนเลย สำหรับคนที่เคยเล่นเว็บอื่นมาไม่ว่าจะเป็น hi5 หรือ myspace สิ่งที่จะพูดในวันนี้อาจจะเป็นเรื่องที่คุณคุ้นเคยดีอยู่แล้วก็ได้ แต่ถ้าคุณเป็นมือใหม่จริงๆ ละก็ ตามผมมาเลยครับ
ก่อนอื่นต้องทำความ เข้าใจกับคำว่า social network กันก่อนนะครับ จริงๆ เรื่องนี้ก็ยาวขนาดที่ว่ายกมาเขียนได้เป็นอีกหัวข้อนึงไปเลย แต่ถ้าพูดให้สั้นๆ ก็คือเป็นเว็บไซท์ที่คุณสามารถสร้างหน้าโปรไฟล์ หรือข้อมูลของคุณเอง และนำไปเชื่อมโยงกับหน้าโปรไฟล์ของคนอื่นๆ เพื่อให้คุณสามารถมีปฎิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นได้ ส่วนจะทำอะไรได้บ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับบริการของเว็บแต่ละห้อง เช่นเข้าไปดูรูปของเพื่อน เขียนไดอารี่ให้คนอื่นเข้ามาอ่าน ส่งข้อความส่วนตัว เขียนข้อความลงบนพื้นที่ในหน้าของเพื่อน ฟังเพลง ส่งเพลงให้กัน ท้าดวลเกมส์ ฯลฯ ซึ่งคุณสามารถส่งข้อความพูดคุยกับเพื่อนตัวต่อตัว หรือจะส่งข้อความหาเพื่อนกลุ่มใหญ่ในครั้งเดียวก็ทำได้ทั้งนั้น โดยจุดเด่นของการสื่อสารผ่านเว็บพวก social network นี้คือเราไม่จำเป็นต้องมานั่งรอเพื่อนของเราออนไลน์พร้อมกันเพื่อจะพูดคุย เหมือนอย่างโปรแกรมพวก msn
อยากลองใช้ดูแล้วใช่มั้ย เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
ก่อนอื่นคุณต้องเข้าไปที่ http://www.facebook.com ซึ่งเป็นเว็บหลักของเฟซบุ๊ค ในหน้าแรกจะมีช่องให้คุณ Sign up ตามรูปข้างล่างนี้ครับ ก็ให้คุณกรอกข้อมูลของคุณลงไป ได้แก่ชื่อ (ขอแนะนำให้ใช้ชื่อนามสกลุจริงนะครับ เพราะจะมีผลในการที่เพื่อนจะหาคุณเจอได้) อีเมล์ที่ติดต่อได้ของคุณ และตั้งพาสเวิร์ดที่จะใช้สำหรับเข้าใช้งาน สุดท้่ายก็ระบุวันเดือนปีเกิด
พอ กดส่งข้อมูลไปแล้ว จะมีช่องให้คุณพิมพ์คำตามรูปภาพ เป็นคำภาษาอังกฤษสองคำคั่นกลางด้วย space bar นะครับ เพื่อเช็คว่าคุณเป็นบุคคลจริงๆ ไม่ใช่หุ่นยนต์ ก็พิมพ์ไปตามที่เห็นครับ
หลัง จากนั้นระบบจะส่งอีเมล์ยืนยันไปที่อีเมล์ที่คุณให้ไว้ ตรงนี้คุณสามารถปิดหน้าเฟซบุ๊คไปก่อนได้ แล้วกลับไปเช็คอีเมล์ของคุณนะครับ จะพบอีเมล์ที่มีหัวข้อว่า Facebook Registration Confirmation ถ้าไม่เห็นก็ลองดูในพวก junk folder ดู ซึ่งพอเปิดเข้าไปก็จะพบกับข้อความพร้อมกับลิงค์ที่ให้คุณคลิกเพื่อเป็นการ ยืนยันตัวตนของคุณ พร้อมกับพาคุณย้อนกลับมาที่หน้า facebook โดยอัตโนมัติ
เพียง แค่นี้คุณก็จะมีหน้า facebook ของตัวเองเอาไว้ใช้งานแล้วครับ แต่ว่านี่ยังเป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น เดี๋ยวบทต่อไปเรามาดูกันว่าเราจะหาเพื่อน และปรับแต่งหน้าตาเฟซบุ๊คของเรายังไงได้บ้างนะครับ แล้วพบกันในตอนต่อไป
ก่อนอื่นต้องทำความ เข้าใจกับคำว่า social network กันก่อนนะครับ จริงๆ เรื่องนี้ก็ยาวขนาดที่ว่ายกมาเขียนได้เป็นอีกหัวข้อนึงไปเลย แต่ถ้าพูดให้สั้นๆ ก็คือเป็นเว็บไซท์ที่คุณสามารถสร้างหน้าโปรไฟล์ หรือข้อมูลของคุณเอง และนำไปเชื่อมโยงกับหน้าโปรไฟล์ของคนอื่นๆ เพื่อให้คุณสามารถมีปฎิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นได้ ส่วนจะทำอะไรได้บ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับบริการของเว็บแต่ละห้อง เช่นเข้าไปดูรูปของเพื่อน เขียนไดอารี่ให้คนอื่นเข้ามาอ่าน ส่งข้อความส่วนตัว เขียนข้อความลงบนพื้นที่ในหน้าของเพื่อน ฟังเพลง ส่งเพลงให้กัน ท้าดวลเกมส์ ฯลฯ ซึ่งคุณสามารถส่งข้อความพูดคุยกับเพื่อนตัวต่อตัว หรือจะส่งข้อความหาเพื่อนกลุ่มใหญ่ในครั้งเดียวก็ทำได้ทั้งนั้น โดยจุดเด่นของการสื่อสารผ่านเว็บพวก social network นี้คือเราไม่จำเป็นต้องมานั่งรอเพื่อนของเราออนไลน์พร้อมกันเพื่อจะพูดคุย เหมือนอย่างโปรแกรมพวก msn
อยากลองใช้ดูแล้วใช่มั้ย เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
ก่อนอื่นคุณต้องเข้าไปที่ http://www.facebook.com ซึ่งเป็นเว็บหลักของเฟซบุ๊ค ในหน้าแรกจะมีช่องให้คุณ Sign up ตามรูปข้างล่างนี้ครับ ก็ให้คุณกรอกข้อมูลของคุณลงไป ได้แก่ชื่อ (ขอแนะนำให้ใช้ชื่อนามสกลุจริงนะครับ เพราะจะมีผลในการที่เพื่อนจะหาคุณเจอได้) อีเมล์ที่ติดต่อได้ของคุณ และตั้งพาสเวิร์ดที่จะใช้สำหรับเข้าใช้งาน สุดท้่ายก็ระบุวันเดือนปีเกิด
พอ กดส่งข้อมูลไปแล้ว จะมีช่องให้คุณพิมพ์คำตามรูปภาพ เป็นคำภาษาอังกฤษสองคำคั่นกลางด้วย space bar นะครับ เพื่อเช็คว่าคุณเป็นบุคคลจริงๆ ไม่ใช่หุ่นยนต์ ก็พิมพ์ไปตามที่เห็นครับ
หลัง จากนั้นระบบจะส่งอีเมล์ยืนยันไปที่อีเมล์ที่คุณให้ไว้ ตรงนี้คุณสามารถปิดหน้าเฟซบุ๊คไปก่อนได้ แล้วกลับไปเช็คอีเมล์ของคุณนะครับ จะพบอีเมล์ที่มีหัวข้อว่า Facebook Registration Confirmation ถ้าไม่เห็นก็ลองดูในพวก junk folder ดู ซึ่งพอเปิดเข้าไปก็จะพบกับข้อความพร้อมกับลิงค์ที่ให้คุณคลิกเพื่อเป็นการ ยืนยันตัวตนของคุณ พร้อมกับพาคุณย้อนกลับมาที่หน้า facebook โดยอัตโนมัติ
เพียง แค่นี้คุณก็จะมีหน้า facebook ของตัวเองเอาไว้ใช้งานแล้วครับ แต่ว่านี่ยังเป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น เดี๋ยวบทต่อไปเรามาดูกันว่าเราจะหาเพื่อน และปรับแต่งหน้าตาเฟซบุ๊คของเรายังไงได้บ้างนะครับ แล้วพบกันในตอนต่อไป
แนวทางการพัฒนา และการเจริญเติบโต
Zuckerberg ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในบ้านเช่า และยังเดินหรือขี่จักรยานไปทำงานทุกวัน ที่สำนักงานใหญ่ของ Facebook ใน Palo Alto แคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีพนักงาน 200 คน ที่ได้รับเงินเดือนสูงลิ่วและสวัสดิการที่ดีเยี่ยม เลี่ยงการเปิดเผยเกี่ยวกับการเงินของ Facebook ปีที่แล้ว Facebook ได้รับเงินทุนจากนักลงทุน Venture Capital เพิ่มขึ้นอีก 25 ล้านดอลลาร์ จากกองทุน Greylock Partners และ Meritech Capital ในขณะที่ Accel และ Thiel ก็ยังคงเพิ่มเงินลงทุนใน Facebook แต่ Facebook ไม่ได้อยู่ได้ด้วยการพึ่งพาเงินของ Venture Capital แต่อยู่ได้ด้วยรายได้จากการดำเนินธุรกิจของบริษัท ซึ่งนำมาใช้ขยายการเติบโตของบริษัท Facebook ยังมีแผนจะลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายล้านดอลลาร์
Facebook มีรายได้ส่วนใหญ่จากการโฆษณาและผู้อุปถัมภ์ Apple เป็นผู้สนับสนุนรายแรกๆ ส่วนลูกค้ารายใหญ่คือ Microsoft ซึ่งจะลงโฆษณาบน Facebook ไปจนถึงปี 2011 นอกจากนี้ยังมี JPMorgan Chase และ Southwest และ Facebook ยังเพิ่งตกลงที่จะทำ Facebook Diaries รายการชุดที่จะฉายทั้งในเว็บ Facebook และ Ziddio.com เว็บ Video-Uploading ของ Comcast รวมทั้งขายผ่านบริการ Vidio-on-Demand ของ Comcast ด้วย
แผนใน อนาคตของ Facebook คืออะไร หลังจากปฏิเสธการเสนอซื้อจาก Yahoo ทั้งตัว Zuckerberg และนักลงทุนคนสำคัญอย่าง Thiel ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า Facebook ยังไม่รีบร้อนที่จะขายให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ หรือขายหุ้นให้สาธารณชน และราคาเสนอซื้อแค่หนึ่งพันล้านนั้นต่ำเกินไป เพราะ Facebook มีค่ามากกว่าที่คนภายนอกคิด ถ้าดูจากฐานผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น และจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ดังนั้นทางเลือกที่ดีกว่าของ Facebook ซึ่งมีจุดแข็งที่เทคโนโลยี คือการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี และทำให้บริษัทเติบโตต่อไป โดยรุกเข้าไปในภาคส่วนอื่นๆ ที่นอกเหนือจากชุมชนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย
ขณะ นี้ Facebook กำลังจะเพิ่มจำนวนวิศวกรจาก 50 คนอีกเท่าตัวภายในปีนี้ และเพิ่มจำนวนพนักงานบริการลูกค้าซึ่งมีอยู่ 50 คน เพราะจำนวนผู้ใช้รายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้น 100,000 คนต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตลาดมหาวิทยาลัยในแคนาดาและอังกฤษของ Facebook เติบโตเกือบ 30% ต่อเดือน (มีข่าวว่า เจ้าชาย Harry แห่งอังกฤษและเพื่อนสาวคนสนิทก็เป็นผู้ใช้ Facebook ด้วย) และ 28% ของผู้ใช้ Facebook ทั้งหมด อยู่นอกสหรัฐฯ นอกจากนี้ อายุของผู้ใช้ Facebook เริ่มหลากหลายมากขึ้น ผู้ใช้อายุ 25-34 ปีมี 3 ล้านคน อายุ 35-44 ปีมี 380,000 คน และอายุเกิน 64 ปีมี 100,000 คน3 ปีก่อน Zuckerberg มาถึง Palo Alto ด้วยมือเปล่า และยังเป็นนักศึกษาของ Harvard แต่ขณะนี้เขาเป็นผู้บริหารเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์ที่กำลังฮอตที่สุด และเพิ่งได้รับเชิญไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมผู้นำการเมืองและเศรษฐกิจ โลกที่เมือง Davos สวิตเซอร์แลนด์ในปีนี้ รวมทั้งเพิ่งปฏิเสธข้อเสนอซื้อมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์อย่างไม่ใยดี
Facebook มีรายได้ส่วนใหญ่จากการโฆษณาและผู้อุปถัมภ์ Apple เป็นผู้สนับสนุนรายแรกๆ ส่วนลูกค้ารายใหญ่คือ Microsoft ซึ่งจะลงโฆษณาบน Facebook ไปจนถึงปี 2011 นอกจากนี้ยังมี JPMorgan Chase และ Southwest และ Facebook ยังเพิ่งตกลงที่จะทำ Facebook Diaries รายการชุดที่จะฉายทั้งในเว็บ Facebook และ Ziddio.com เว็บ Video-Uploading ของ Comcast รวมทั้งขายผ่านบริการ Vidio-on-Demand ของ Comcast ด้วย
แผนใน อนาคตของ Facebook คืออะไร หลังจากปฏิเสธการเสนอซื้อจาก Yahoo ทั้งตัว Zuckerberg และนักลงทุนคนสำคัญอย่าง Thiel ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า Facebook ยังไม่รีบร้อนที่จะขายให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ หรือขายหุ้นให้สาธารณชน และราคาเสนอซื้อแค่หนึ่งพันล้านนั้นต่ำเกินไป เพราะ Facebook มีค่ามากกว่าที่คนภายนอกคิด ถ้าดูจากฐานผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น และจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ดังนั้นทางเลือกที่ดีกว่าของ Facebook ซึ่งมีจุดแข็งที่เทคโนโลยี คือการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี และทำให้บริษัทเติบโตต่อไป โดยรุกเข้าไปในภาคส่วนอื่นๆ ที่นอกเหนือจากชุมชนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย
ขณะ นี้ Facebook กำลังจะเพิ่มจำนวนวิศวกรจาก 50 คนอีกเท่าตัวภายในปีนี้ และเพิ่มจำนวนพนักงานบริการลูกค้าซึ่งมีอยู่ 50 คน เพราะจำนวนผู้ใช้รายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้น 100,000 คนต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตลาดมหาวิทยาลัยในแคนาดาและอังกฤษของ Facebook เติบโตเกือบ 30% ต่อเดือน (มีข่าวว่า เจ้าชาย Harry แห่งอังกฤษและเพื่อนสาวคนสนิทก็เป็นผู้ใช้ Facebook ด้วย) และ 28% ของผู้ใช้ Facebook ทั้งหมด อยู่นอกสหรัฐฯ นอกจากนี้ อายุของผู้ใช้ Facebook เริ่มหลากหลายมากขึ้น ผู้ใช้อายุ 25-34 ปีมี 3 ล้านคน อายุ 35-44 ปีมี 380,000 คน และอายุเกิน 64 ปีมี 100,000 คน3 ปีก่อน Zuckerberg มาถึง Palo Alto ด้วยมือเปล่า และยังเป็นนักศึกษาของ Harvard แต่ขณะนี้เขาเป็นผู้บริหารเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์ที่กำลังฮอตที่สุด และเพิ่งได้รับเชิญไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมผู้นำการเมืองและเศรษฐกิจ โลกที่เมือง Davos สวิตเซอร์แลนด์ในปีนี้ รวมทั้งเพิ่งปฏิเสธข้อเสนอซื้อมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์อย่างไม่ใยดี
ข้อผิดพลาดของ Facebook ในเรื่องการปกป้องความเป็นส่วนตัว
Zuckerberg ผิดพลาดตรงที่ลืมให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัว มีผู้ใช้ Facebook เข้าร่วมการประท้วงครั้งนี้ถึง 700,000 คนภายในเวลาน้อยกว่า 48 ชั่วโมง มีบางคนเห็นว่านั่นคือจุดจบของ Facebook
Zuckerberg เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ใช้ผ่าน Blog ใน Facebook ชี้แจงว่า เขาคิด News Feed และ Mini-Feed ขึ้นมา เพื่อให้ข่าวสารข้อมูลแก่คนในชุมชนเดียวกันบน Facebook แต่ยอมรับว่า ไม่ได้อธิบายคุณสมบัตินี้ให้ชัดเจน และไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัว จากนั้นทีมวิศวกรของเขาทำงานหนัก 3 วันเต็ม เพื่อปรับปรุงเรื่องการปกป้องความเป็นส่วนตัว
ในที่สุดมรสุมก็ผ่าน พ้น และ Zuckerberg อ้างว่าขณะนี้ News Feed กลายเป็นสิ่งที่ผู้ใช้นิยม และสามารถผลิตข่าวภายใน 1 วันสำหรับผู้ใช้ 19 ล้านคน ได้มากกว่าสื่ออื่นใด อย่างไรก็ตาม Facebook ยังเผชิญอีกปัญหาหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานับตั้งแต่เริ่มเปิดตัว จากการถูกนักศึกษา Harvard 4 คนฟ้องร้องว่า Zuckerberg ขโมยความคิดในการก่อตั้ง Facebook แต่ Facebook ฟ้องกลับ และคดียังไม่สิ้นสุด
Zuckerberg เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ใช้ผ่าน Blog ใน Facebook ชี้แจงว่า เขาคิด News Feed และ Mini-Feed ขึ้นมา เพื่อให้ข่าวสารข้อมูลแก่คนในชุมชนเดียวกันบน Facebook แต่ยอมรับว่า ไม่ได้อธิบายคุณสมบัตินี้ให้ชัดเจน และไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัว จากนั้นทีมวิศวกรของเขาทำงานหนัก 3 วันเต็ม เพื่อปรับปรุงเรื่องการปกป้องความเป็นส่วนตัว
ในที่สุดมรสุมก็ผ่าน พ้น และ Zuckerberg อ้างว่าขณะนี้ News Feed กลายเป็นสิ่งที่ผู้ใช้นิยม และสามารถผลิตข่าวภายใน 1 วันสำหรับผู้ใช้ 19 ล้านคน ได้มากกว่าสื่ออื่นใด อย่างไรก็ตาม Facebook ยังเผชิญอีกปัญหาหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานับตั้งแต่เริ่มเปิดตัว จากการถูกนักศึกษา Harvard 4 คนฟ้องร้องว่า Zuckerberg ขโมยความคิดในการก่อตั้ง Facebook แต่ Facebook ฟ้องกลับ และคดียังไม่สิ้นสุด
ความเป็นสังคมออนไลน์
Facebook เป็นเครื่องมือทางสังคม ที่ทำให้คนสามารถแบ่งปันข้อมูลกับคนที่อยู่ในสังคมเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ และต่างจาก MySpace เว็บชุมชนออนไลน์อันดับหนึ่งในขณะนี้ ซึ่งหลายคนมองว่าคือคู่แข่งของ Facebook ตรงที่ใน MySpace ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อจริง แต่ Facebook เป็นชุมชนในโลกจริง ที่ใช้ชื่อ Email เดียวกัน และต้องการที่จะทำความรู้จักคนอื่นๆ ในสังคมเดียวกันในโลกจริง ข้อมูลที่นำมาแบ่งปันกันใน Facebook จะเป็นอะไรก็ได้ รูปถ่ายตอนไปเที่ยวปิดเทอม ที่อยู่ของเพื่อน หนังที่ชอบ และทุกๆ อย่าง ซึ่งตอบสนองความต้องการของนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่กระตือรือร้นอยากจะรู้จักคนอื่นๆ ในสังคมเดียวกันให้มากขึ้น
ใน เดือนกันยายนปี 2005 Facebook ขยายตัวด้วยการเปิดชุมชนออนไลน์สำหรับนักเรียนโรงเรียนมัธยม และในเดือนมิถุนายนปี 2006 เปิดชุมชนออนไลน์สำหรับคนวัยทำงาน และขณะนี้มีชุมชนออนไลน์ของคนทำงานมากกว่า 20,000 ชุมชนแล้วใน Facebook มีตั้งแต่ชุมชนของเจ้าหน้าที่ CIA ไปจนถึงพนักงานของ Macy’s, McDonald’s, Time Inc. กระทั่งกองกำลังนาวิกโยธินของสหรัฐฯ แม้กระทั่ง MySpace ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งของ Facebook ยังมีชุมชนพนักงานออนไลน์อยู่ที่ Facebook
ในเดือนกันยายนปี 2006 Facebook เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผู้ใช้แบบ Open Registration หมายถึงใครก็ตามที่มีที่อยู่ Email ที่แน่นอน ก็สามารถเข้าร่วมกับ Facebook ได้ แต่ปัญหาเริ่มเกิดเมื่อ Facebook เริ่มใช้คุณสมบัติใหม่ที่เรียกว่า News Feed ซึ่งจะรายงานกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในชุมชนหนึ่งๆ หรือกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งๆ บน Facebook แต่กลับถูกชุมชนชาว Facebook ต่อต้าน เนื่องจากผู้ใช้เกิดความรู้สึกว่า ข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาถูกแพร่กระจายไปทั่วทั้งเว็บ Facebook โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพวกเขา แม้ว่าข้อมูลเหล่านั้น พวกเขาจะเป็นคนเขียนเองก็ตาม
ความนิยมของ Facebook
การเจริญเติบโตของ Facebook ทั่วโลกได้ทำให้หลายคนน่าพิศวง. เฉพาะในเดือนมิถุนายนและเพิ่ง, Facebook มีผู้เข้าชมมากกว่า 24 ล้าน, เพิ่มจํานวนแขกได้ถึง 340 ล้าน. ตัวเลขนี้มี Facebook เพื่อสี่ตำแหน่งเพียงสามของ Google ของ Microsoft และ Yahoo.
Facebook เองประกาศล่วงหน้าที่พวกเขามีสมาชิกที่ใช้งาน 250 ล้าน. เนื่องจากเกือบทั้งหมดของเนื้อหาของ Facebook จะต้องเข้าสู่ระบบก่อนที่คุณจะเห็นหลายคนกล่าวว่าสมาชิกต้องทำงานอย่างใกล้ชิดสถิติ 340 ล้านโดย comScore.
อย่างไรก็ตามว่าข้อมูลใดก็ตาม Facebook ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วปีก่อนที่มีอัตราการเจริญเติบโตไม่ค่อยเห็นในเว็บไซต์ที่มีขนาดใหญ่คล้ายคลึง. ตาม comScore ในปีที่ผ่านมา, Facebook ได้เพิ่มผู้เข้าชม 208 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 157%.
4 เดือนนับตั้งแต่เดี๋ยวนี้ 2008 พวกเขาเกินหน้า MySpace โดยตรงคู่แข่งในฟิลด์ของเครือข่ายสังคม. จากนั้น Facebook ยังคงละเลยชุดคู่แข่งเพื่อส่งต่อ, อเมซอนรวมถึง (8 / 2008), eBay (1 / 2009), AOL (2 / 2009), Wikimedia (6 / 2009) และโรคมะเร็งในสี่ยืนที่ตำแหน่ง.
ในตำแหน่ง Facebook จะเวลาเพื่อให้ได้ "โค่น" ถัดไปตามสาม "เขาใหญ่" ซ้ายถือประมาณ 240 ล้านบาทเป็น 500 ล้านเทียบกับผู้เข้าชม Facebook. แต่เราควรทราบว่า Facebook รวมเฉพาะเดียวเว็บไซต์ในขณะที่ของ Google ของ Microsoft และ Yahoo เป็นชุดที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์. หากแต่ละเว็บไซต์, ระยะทางอาจมากแคบ.
ต่อไปนี้เป็น comScore สถิติใน 6 / 2009 (เว็บไซต์ของเจ้าของเป็นวาง):
1. ของ Google: 844 ล้าน (รวมถึงการค้นหาของ Gmail, Google Documents ไม่, YouTube ...)
2. ไมโครซอฟท์: 691 ล้าน
3. Yahoo!: 581 ล้าน
4. Facebook: 340 ล้าน
5. Wikimedia: 303 ล้าน (รวมถึง Wikipedia ที่, Wiktionary ...)
6. AOL: 280 ล้าน
7. eBay: 233 ล้าน
8. CBS: 186 ล้าน
9. อเมซอน: 183 ล้าน
10.ถาม: 174 ล้าน.
การแข่งขันทางการตลาดของ Facebook
Zuckerberg เพิ่งปฏิเสธข้อเสนอซื้อของ Yahoo ซึ่งเสนอซื้อ Facebook ด้วยเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือว่า Viacom เสนอซื้อ Facebook ด้วยเงิน 750 ล้านดอลลาร์ คำถามคือ การตัดสินใจของ Zuckerberg ครั้งนี้ ถูกต้องหรือไม่
ในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา มีเว็บยุคใหม่ที่เรียกว่า Web 2.0 ที่โด่งดัง 2 แห่ง ที่เพิ่งถูกขายให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ นั่นคือ MySpace ที่ถูก News Corp ซื้อไปด้วยเงิน 580 ล้านดอลลาร์ และ YouTube ที่ยอมรับเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์จาก Google
ขณะที่ในอดีตเว็บ Friendster เว็บชุมชนออนไลน์ที่โด่งดังเป็นเว็บแรก เคยปฏิเสธการเสนอซื้อด้วยเงิน 30 ล้านดอลลาร์จาก Google ในปี 2002 ซึ่งหากจ่ายเป็นหุ้น ป่านนี้คงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น Friendster ซึ่งเป็นเว็บรุ่นเก่า ก็ถูกบดบังรัศมีโดยเว็บรุ่นใหม่ๆ
Facebook จะประสบชะตากรรมอย่างเดียวกับ Friendster หรือไม่ ในขณะที่เว็บชุมชนออนไลน์ใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน
Cisco เพิ่งซื้อ Five Across ซึ่งขายซอฟต์แวร์เว็บชุมชนออนไลน์ให้แก่ลูกค้าบริษัท Microsoft กำลังทดสอบเว็บชุมชนออนไลน์ใหม่ที่มีชื่อว่า Wallop แม้กระทั่ง Reuters ก็กำลังวางแผนจะทำเว็บออนไลน์ที่คล้ายกับหนังสือรุ่นแบบ Facebook เพื่อเก็บข้อมูลของผู้จัดการกองทุนและ Trader
แต่ Zuckerberg คิดต่างออกไป เขาต้องการสร้างสิ่งที่จะอยู่ได้ในระยะยาว และเขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนั้น ทั้งตัวเขาและเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook คือ Dustin Moskovitz วัย 22 เพื่อนร่วมห้องที่ Harvard ซึ่งรับผิดชอบด้านวิศวกรรมของ Facebook และ Adam D’Angelo วัย 23 ปี เพื่อนร่วมโรงเรียนของ Zuckerberg ซึ่งรับผิดชอบด้านเทคโนโลยีของ Facebook ต่างมีความเชื่อมั่นศรัทธาว่า การเปิดกว้าง ความร่วมมือ และการแบ่งปันข้อมูลของเว็บชุมชนออนไลน์ จะทำให้โลกทำงานได้ดีขึ้น
Zuckerberg ยอมรับว่าเขาเป็น Hacker แต่ไม่ใช่ในความหมายของนักเจาะระบบ Hacker ของเขาหมายถึงการนำความพยายามและความรู้ที่ทุกคนมีมารวมกัน แบ่งปันกัน เพื่อบรรลุสิ่งที่ดีกว่า เร็วกว่าหรือใหญ่กว่า ซึ่งคนๆ เดียวทำไม่ได้ โดยให้ความสำคัญกับการเปิดกว้าง การแบ่งปันข้อมูล เขาสร้างสิ่งที่เรียกว่า Hackathon ใน Facebook ซึ่งคล้ายกับการระดมสมองสำหรับวิศวกร
อย่าง ไรก็ตาม Facebook กลับมีกำเนิดมาจากการเจาะระบบจริงๆ เมื่อ Zuckerberg เรียนอยู่ที่ Harvard เขาพบว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่มีหนังสือรุ่นที่เรียกว่า Face Book ซึ่งจะเก็บรายชื่อนักศึกษาพร้อมรูปและข้อมูลพื้นฐาน เหมือนอย่างมหาวิทยาลัยทั่วไป Zuckerberg ต้องการจะทำหนังสือรุ่นออนไลน์ของ Harvar,KM แต่ Harvard กลับปฏิเสธว่า ไม่สามารถจะรวบรวมข้อมูลได้
Zuckerberg จึงเจาะเข้าไปในระบบทะเบียนประวัตินักศึกษาของ Harvard และทำเว็บไซต์ชื่อ Facemash ซึ่งจะสุ่มเลือกรูปของนักศึกษา 2 คนขึ้นมา และเชิญให้ผู้เข้ามาในเว็บเลือกว่า ใคร “ฮอต” กว่ากัน
ภายในเวลา เพียง 4 ชั่วโมง มีนักศึกษาเข้าไปในเว็บของ Zuckerberg 450 คน และมีสถิติการชมภาพ 22,000 ครั้ง ทำให้ Harvard ห้าม Zuckerberg ใช้ Internet และเรียกตัวไปตำหนิ เหตุการณ์จบลงโดย Zuckerberg กล่าวขอโทษเพื่อนนักศึกษา แต่เขายังคงเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง
ต่อมา Zuckerberg จัดทำแบบฟอร์ม Facebook เพื่อให้นักศึกษาเข้ามาเขียนข้อมูลของตนเอง Thefacebook.com ซึ่งเป็นชื่อเริ่มแรกของ Facebook เปิดตัวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004 ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ นักศึกษาครึ่งหนึ่งของ Harvard ลงทะเบียนในเว็บแห่งนี้ และเพิ่มเป็น 2 ใน 3 ของนักศึกษา Harvard ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นเริ่มติดต่อ Zuckerberg ขอให้ทำหนังสือรุ่นออนไลน์ให้แก่มหาวิทยาลัยของพวกเขาบ้าง จึงเกิดพื้นที่ใหม่ใน Facebook สำหรับ Stanford และ Yale ภายในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน โรงเรียนอีก 30 แห่งเข้าร่วมใน Facebook ตามมาด้วยโฆษณาที่เกี่ยวกับนักเรียนนักศึกษา และธุรกิจที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ทำให้เว็บชุมชนแห่งนี้ เริ่มสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์
Sean Parker ผู้ร่วมก่อตั้ง Napster โปรแกรม File-sharing ชื่อดัง ซึ่งหยุดชะงักไปเนื่องจากถูกอุตสาหกรรมเพลงและภาพยนตร์ฟ้องร้อง เป็นผู้ชักนำ Zuckerberg ให้ได้พบกับนักลงทุนรายใหญ่รายแรกคือ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และเป็นผู้บริหารกองทุนเก็งกำไร Clarium Capital และกองทุน Founders Fund ซึ่งลงทุนใน Facebook 500,000 ดอลลาร์ และทำให้ Zuckerberg มีโอกาสสร้างสายสัมพันธ์ใน Silicon Valley
ในเดือน พฤศจิกายนปี 2004 Facebook มีจำนวนผู้เข้าชมทะลุระดับ 1 ล้านคน 6 เดือนต่อจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของ Thiel ทำให้ Zuckerberg ได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก 12.7 ล้านดอลลาร์จาก Accel Partners ทำให้เขาสามารถว่างจ้างทัพวิศวกรรุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึง Steve Chen ผู้ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือนได้ร่วมก่อตั้ง YouTube ในปี 2005 Facebook มีผู้ใช้ที่เรียกว่า Active User 5 ล้านคน ซึ่งหมายถึงผู้ใช้ที่แวะเข้าเว็บแห่งนี้อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน
ในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา มีเว็บยุคใหม่ที่เรียกว่า Web 2.0 ที่โด่งดัง 2 แห่ง ที่เพิ่งถูกขายให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ นั่นคือ MySpace ที่ถูก News Corp ซื้อไปด้วยเงิน 580 ล้านดอลลาร์ และ YouTube ที่ยอมรับเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์จาก Google
ขณะที่ในอดีตเว็บ Friendster เว็บชุมชนออนไลน์ที่โด่งดังเป็นเว็บแรก เคยปฏิเสธการเสนอซื้อด้วยเงิน 30 ล้านดอลลาร์จาก Google ในปี 2002 ซึ่งหากจ่ายเป็นหุ้น ป่านนี้คงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น Friendster ซึ่งเป็นเว็บรุ่นเก่า ก็ถูกบดบังรัศมีโดยเว็บรุ่นใหม่ๆ
Facebook จะประสบชะตากรรมอย่างเดียวกับ Friendster หรือไม่ ในขณะที่เว็บชุมชนออนไลน์ใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน
Cisco เพิ่งซื้อ Five Across ซึ่งขายซอฟต์แวร์เว็บชุมชนออนไลน์ให้แก่ลูกค้าบริษัท Microsoft กำลังทดสอบเว็บชุมชนออนไลน์ใหม่ที่มีชื่อว่า Wallop แม้กระทั่ง Reuters ก็กำลังวางแผนจะทำเว็บออนไลน์ที่คล้ายกับหนังสือรุ่นแบบ Facebook เพื่อเก็บข้อมูลของผู้จัดการกองทุนและ Trader
แต่ Zuckerberg คิดต่างออกไป เขาต้องการสร้างสิ่งที่จะอยู่ได้ในระยะยาว และเขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนั้น ทั้งตัวเขาและเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook คือ Dustin Moskovitz วัย 22 เพื่อนร่วมห้องที่ Harvard ซึ่งรับผิดชอบด้านวิศวกรรมของ Facebook และ Adam D’Angelo วัย 23 ปี เพื่อนร่วมโรงเรียนของ Zuckerberg ซึ่งรับผิดชอบด้านเทคโนโลยีของ Facebook ต่างมีความเชื่อมั่นศรัทธาว่า การเปิดกว้าง ความร่วมมือ และการแบ่งปันข้อมูลของเว็บชุมชนออนไลน์ จะทำให้โลกทำงานได้ดีขึ้น
Zuckerberg ยอมรับว่าเขาเป็น Hacker แต่ไม่ใช่ในความหมายของนักเจาะระบบ Hacker ของเขาหมายถึงการนำความพยายามและความรู้ที่ทุกคนมีมารวมกัน แบ่งปันกัน เพื่อบรรลุสิ่งที่ดีกว่า เร็วกว่าหรือใหญ่กว่า ซึ่งคนๆ เดียวทำไม่ได้ โดยให้ความสำคัญกับการเปิดกว้าง การแบ่งปันข้อมูล เขาสร้างสิ่งที่เรียกว่า Hackathon ใน Facebook ซึ่งคล้ายกับการระดมสมองสำหรับวิศวกร
อย่าง ไรก็ตาม Facebook กลับมีกำเนิดมาจากการเจาะระบบจริงๆ เมื่อ Zuckerberg เรียนอยู่ที่ Harvard เขาพบว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่มีหนังสือรุ่นที่เรียกว่า Face Book ซึ่งจะเก็บรายชื่อนักศึกษาพร้อมรูปและข้อมูลพื้นฐาน เหมือนอย่างมหาวิทยาลัยทั่วไป Zuckerberg ต้องการจะทำหนังสือรุ่นออนไลน์ของ Harvar,KM แต่ Harvard กลับปฏิเสธว่า ไม่สามารถจะรวบรวมข้อมูลได้
Zuckerberg จึงเจาะเข้าไปในระบบทะเบียนประวัตินักศึกษาของ Harvard และทำเว็บไซต์ชื่อ Facemash ซึ่งจะสุ่มเลือกรูปของนักศึกษา 2 คนขึ้นมา และเชิญให้ผู้เข้ามาในเว็บเลือกว่า ใคร “ฮอต” กว่ากัน
ภายในเวลา เพียง 4 ชั่วโมง มีนักศึกษาเข้าไปในเว็บของ Zuckerberg 450 คน และมีสถิติการชมภาพ 22,000 ครั้ง ทำให้ Harvard ห้าม Zuckerberg ใช้ Internet และเรียกตัวไปตำหนิ เหตุการณ์จบลงโดย Zuckerberg กล่าวขอโทษเพื่อนนักศึกษา แต่เขายังคงเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง
ต่อมา Zuckerberg จัดทำแบบฟอร์ม Facebook เพื่อให้นักศึกษาเข้ามาเขียนข้อมูลของตนเอง Thefacebook.com ซึ่งเป็นชื่อเริ่มแรกของ Facebook เปิดตัวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004 ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ นักศึกษาครึ่งหนึ่งของ Harvard ลงทะเบียนในเว็บแห่งนี้ และเพิ่มเป็น 2 ใน 3 ของนักศึกษา Harvard ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นเริ่มติดต่อ Zuckerberg ขอให้ทำหนังสือรุ่นออนไลน์ให้แก่มหาวิทยาลัยของพวกเขาบ้าง จึงเกิดพื้นที่ใหม่ใน Facebook สำหรับ Stanford และ Yale ภายในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน โรงเรียนอีก 30 แห่งเข้าร่วมใน Facebook ตามมาด้วยโฆษณาที่เกี่ยวกับนักเรียนนักศึกษา และธุรกิจที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ทำให้เว็บชุมชนแห่งนี้ เริ่มสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์
Sean Parker ผู้ร่วมก่อตั้ง Napster โปรแกรม File-sharing ชื่อดัง ซึ่งหยุดชะงักไปเนื่องจากถูกอุตสาหกรรมเพลงและภาพยนตร์ฟ้องร้อง เป็นผู้ชักนำ Zuckerberg ให้ได้พบกับนักลงทุนรายใหญ่รายแรกคือ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และเป็นผู้บริหารกองทุนเก็งกำไร Clarium Capital และกองทุน Founders Fund ซึ่งลงทุนใน Facebook 500,000 ดอลลาร์ และทำให้ Zuckerberg มีโอกาสสร้างสายสัมพันธ์ใน Silicon Valley
ในเดือน พฤศจิกายนปี 2004 Facebook มีจำนวนผู้เข้าชมทะลุระดับ 1 ล้านคน 6 เดือนต่อจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของ Thiel ทำให้ Zuckerberg ได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก 12.7 ล้านดอลลาร์จาก Accel Partners ทำให้เขาสามารถว่างจ้างทัพวิศวกรรุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึง Steve Chen ผู้ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือนได้ร่วมก่อตั้ง YouTube ในปี 2005 Facebook มีผู้ใช้ที่เรียกว่า Active User 5 ล้านคน ซึ่งหมายถึงผู้ใช้ที่แวะเข้าเว็บแห่งนี้อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน
ความเป็นมาของ Facebook
facebook เป็น social network ที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งถ้าในต่างประเทศ ความยิ่งใหญ่ของ facebook มีมากกว่า Hi5 เสียอีก แต่ในประเทศไทยของเรา Hi5 ยังครองความเป็นเจ้าในด้าน social network ในหมู่คนไทย
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 Mark Zuckerburg ได้เปิดตัวเว็บไซต์ facebook ซึ่งเป็นเว็บประเภท social network ที่ตอนนั้น เปิดให้เข้าใช้เฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเท่านั้น และเว็บนี้ก็ดังขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะแค่เพียงเปิดตัวได้สองสัปดาห์ จนครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ได้สมัครเป็นสมาชิก facebook รวมไปถึงมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในเขตบอสตั้น เพียงระยะเวลา 4 เดือนหลังจากนั้น facebook ได้มีรายชื่อและสมาชิกของมหาวิทยาลัยอีก 30 กว่าแห่ง โดยมาร์คร่วมกับ Dustin Moskowitz และ Christ Hughes เพื่อช่วยกันสร้าง facebook
facebook นั้นมาจากโรงเรียนเก่าในระดับมัธยมปลายของมาร์ค ที่ชื่อฟิลิปส์ เอ็กเซเตอร์ อะคาเดมี่ โดยที่โรงเรียนนี้ จะมีหนังสืออยู่หนึ่งเล่มที่ชื่อว่า The Exeter Face Book ซึ่งจะส่งต่อ ๆ กันไปให้นักเรียนคนอื่น ๆ ได้รู้จักเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ซึ่ง face book นี้จริง ๆ แล้วก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น จนเมื่อวันหนึ่ง มาร์คได้เปลี่ยนแปลงและนำมันเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต
ทั้งมาร์ค ดัสติน และ ฮิวจ์ ร่วมงานกับ ชอน ปาร์คเกอร์ (Sean Parker) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Napster จากนั้นไม่นาน ปาร์คเกอร์ก็แนะนำให้รู้จักกับนักลงทุนรายแรก ซึ่งก็คือ ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal และผู้บริหารของ The Founders Fund โดยปีเตอร์ได้ลงทุนใน facebook เป็นจำนวนเงิน 500,000 เหรียญสหรัฐฯ ด้วยจำนวนสมาชิกหลายล้านคน ทำให้บริษัทหลายแห่งสนใจในตัว facebook โดย friendster พยายามที่จะขอซื้อ facebook เป็นเงิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในกลางปีพ.ศ. 2548 แต่ facebook ปฎิเสธข้อเสนอไป และได้รับเงินทุนเพิ่มเติมจาก Accel Partners เป็นจำนวนอีก 12.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในตอนนั้น facebook มีมูลค่าจากการประเมินอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
facebook ยังเติบโตต่อไป จนถึงเดือนกันยายนปีพ.ศ. 2549 ก็ได้เปิดในโรงเรียนในระดับมัธยมปลาย เข้าร่วมใช้งานได้ และในเดือนถัดมา facebook ได้เพิ่มฟังค์ชั่นใหม่ โดยสามารถให้สมาชิก เอารูปภาพมาแบ่งปันกันได้ ซึ่งฟังชั่นนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ในฤถูใบไม้ผลิ facebook ได้รับเงินจากการลงทุนเพิ่มอีกของ Greylock Partners, Meritech Capitalพร้อมกับนักลงทุนชุดแรกคือ Accel Partners และ ปีเตอร์ ธีล เป็นจำนวนเงินถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าการประเมินมูลค่าในตอนนั้นเป็น 525 ล้านเหรียญ หลังจากนั้น facebook ได้เปิดให้องค์กรธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ ให้สามารถเข้าใช้งาน facebook และสร้าง network ต่าง ๆ ได้ ซึ่งในที่สุดก็องค์กรธุรกิจกว่า 20,000 แห่งได้เข้ามาใช้งาน และสุดท้ายในปีพ.ศ. 2550 facebook ก็ได้เปิดให้ทุกคนที่มีอีเมล์ ได้เข้าใช้งาน ซึ่งเป็นยุคที่คนทั่วไป ไม่ว่าเป็นใครก็สามารถเข้าไปใช้งาน facebook ได้เพียงแค่คุณมีอีเมล์เท่านั้น
ในช่วงฤดูร้อนปี 2550 ครั้งนั้น Yahoo พยายามที่จะขอซื้อ facebook ด้วยวงเงินจำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีรายงานว่ามาร์คได้ทำการตกลงกันด้วยวาจาไปแล้วด้วยว่า จะยอมขาย facebook ให้กับ Yahoo และเพียงแค่สองสามวันถัดมา หุ้นของ Yahoo ก็ได้พุ่งขึ้นสูงเลยทีเดียว แต่ว่าข้อเสนอซื้อได้ถูกต่อรองเหลือเพียงแค่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้มาร์คปฎิเสธข้อเสนอนั้นทันที ภายหลังต่อมา ทาง Yahoo ได้ลองเสนอขึ้นไปที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกครั้ง คราวนี้มาร์คปฎิเสธ Yahoo ทันที และได้รับชื่อเสียงในทางไม่ดีว่า ทำธุรกิจเป็นเด็กฯ ไปในทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาร์คปฎิเสธขอเสนอซื้อบริษัท เพราะเคยมีบริษัท Viacom ได้เคยลองเสนอซื้อ facebook ด้วยวงเงิน 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และถูกปฎิเสธไปแล้วในเดือนมีนาคมปี 2550
มีข่าวอีกกระแสหนึ่งที่ไม่ค่อยดีสำหรับ facebook ที่ได้มีการโต้เถียงกันอย่างหนัก กับ Social Network ที่ชื่อ ConnectU โดยผู้ก่อตั้ง ConnectU ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่ฮาเวิร์ด ได้กล่าวหาว่ามาร์คได้ขโมยตัว source code สำหรับ facebook ไปจากตน โดยกรณีนี้ได้มีเรื่องมีราวไปถึงชั้นศาล และตอนนี้ได้แก้ไขข้อพิพาทกันไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีข้อพิพาทอย่างนี้เกิดขึ้น การเติบโตของ facebook ก็ยังขับเคลื่อนต่อไป ในฤดูใบไม่ร่วงปี 2551 facebook มีสมาชิกที่มาสมัครใหม่มากกว่า 1 ล้านคนต่อสัปดาห์ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่วันละ 200,000 คน ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ facebook มีสมาชิกมากถึง 50 ล้านคน โดย facebook มียอดผู้เข้าชมเฉลี่ยอยู่ที่ 40,000 ล้านเพจวิวต่อเดือน จากวันแรกที่ facebook เป็น social network ของนักศึกษามหาวิทยาลัย จนวันนี้ สมาชิกของ facebook 11% มีอายุมากกว่า 35 ปี และสมาชิกที่มีอายุมากกว่า 30 ปีก็เข้ามาสมัครใช้ facebook กันเยอะมาก นอกเหนือจากนี้ facebook ยังเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ในตลาดต่างประเทศอีกด้วย โดย 15% ของสมาชิก เป็นคนที่อยู่ในประเทศแคนาดา ซึ่งมีรายงานออกมาด้วยว่า ค่าเฉลี่ยของสมาชิกที่มาใช้งาน facebookนั้นอยู่ที่ 19 นาทีต่อวันต่อคน โดย facebook ถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐอเมริกาและเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้อัพโหลดรูปภาพสูงที่สุดด้วยจำนวน 4 หมื่นหนึ่งพันล้านรูป จากจำนวนสถิติเหล่านี้ ไมโครซอฟต์ได้ร่วมลงทุนใน facebook เป็นจำนวนเงิน 240 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อแลกกับหุ้นจำนวน 1.6 % ในเดือนตุลาคม 2551 ทำให้มูลค่ารวมของ facebook มีมากกว่า 15,000 ล้านบาท และทำให้ facebook เป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 5 ในหมู่บริษัทอินเทอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่ารายรับต่อปีเพียงแค่ 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลายฝ่ายได้อธิบายว่า การตัดสินใจของไมโครซอฟต์ในครั้งนี้ทำเพียงเพื่อที่จะเอาชนะ Google ซึ่งเป็นคู่แข่งขันที่จะขอซื้อ facebook ในครั้งเดียวกันนั้น
ผู้ก่อตั้ง Facebook
Mark Zuckerberg ก่อตั้ง Facebook เว็บชุมชนออนไลน์ (Social-Networking Site) ที่กำลังได้รับความนิยมสุดขีดในขณะนี้ เมื่อ 3 ปีก่อน ขณะยังเรียนอยู่ที่ Harvard ก่อนจะลาออกกลางคัน เจริญรอยตาม Bill Gates แห่ง Microsoft เพื่อเป็น CEO ของเว็บชุมชนออนไลน์ที่เขาก่อตั้งขึ้น ด้วยวัยเพียง 22 ปีภาย ในเวลาเพียง 3 ปี เว็บที่เริ่มต้นจากการเป็นเว็บชุมชนออนไลน์สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย กลายเป็นเว็บที่มีผู้ใช้ที่ลงทะเบียน 19 ล้านคน ซึ่งรวมถึงข้าราชการในหน่วยงานรัฐบาล และพนักงานบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ เข้าเว็บนี้เป็นประจำทุกวัน และขณะนี้กลายเป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับ 6 ในสหรัฐ 1% ของเวลาทั้งหมดที่ใช้บน Internet ถูกใช้ในเว็บ Facebookนอกจากนี้ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นเว็บที่ผู้ใช้ Upload รูปขึ้นไปเก็บไว้มากเป็นอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ โดยมีจำนวนรูปที่ถูก Upload ขึ้นไปบนเว็บ 6 ล้านรูปต่อวัน และกำลังเริ่มจะเป็นคู่แข่งกับ Google และเว็บยักษ์ใหญ่อื่นๆ ในการดึงดูดวิศวกรรุ่นใหม่ใน Silicon Valley นักวิเคราะห์คาดว่า Facebook จะทำรายได้ 100 ล้านดอลลาร์ในปีนี้
Subscribe to:
Posts (Atom)