เป็นรายงานของบริษัท Next Up! ที่แจกฟรีบนเว็บไซต์ SharesPost (ดาวน์โหลดได้ฟรีแต่ต้องลงทะเบียนก่อน) เป็นบทวิเคราะห์ทางการเงินของ Facebook แต่ก็พูดถึง Social Network ในภาพรวมด้วย เอาข้อมูลมาแปะบางส่วน
ชนิดของ Social Network
เป็นการจัดหมวดของ NextUp แบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ คือ
1. SNS ครอบจักรวาล (Facebook, MySpace)
2. ใช้งานซีเรียส เช่น LinkedIn, Xing
3. บล็อก/ไมโครบล็อก (Twitter)
อัตราการใช้งาน Social Network
Social Network ยังไม่ใช่บริการชนิดที่นิยมที่สุดบนเว็บ (อันดับ 4; อันดับ 1 คือ Search; คิดเป็น penetration rate คืออัตราต่อผู้ใช้เน็ตทั้งหมด) แต่ก็มีอัตราการเติบโตสูงกว่าอีเมลเป็นเท่าตัว
จำนวนผู้ชม-ใช้งานแต่ละเว็บ
จำนวนสมาชิก ประเมินโดย ComScore และข้อมูลจาก NextUp เอง ข้อมูลถึงเดือนมีนาคม 2009
ผู้ชมเว็บ วัดเป็น UIP ประเมินโดย comScore เช่นเดิม จะเห็นว่า Facebook เริ่มฉีกตัวจาก MySpace, Friendster ลดลง และ Twitter เพิ่มอย่างก้าวกระโดด
เปรียบเทียบอัตราการใช้งาน Facebook กับ Social Network อื่นๆ ในท้องตลาด
• ผู้ใช้ Facebook เติบโต 170% เมื่อเทียบกับปี 2008 ถ้าคิดเป็นระยะเวลาการใช้งานก็โตใกล้เคียงกันคือ 182%
• Twitter อัตราการเติบโตสูงมาก 1400% แต่เทียบเป็นจำนวนทั้งหมดแล้วยังน้อยอยู่
• Xiaonei ของจีนก็มีอัตราการเติบโตสูงเช่นกัน 197%
• LinkedIn มาเรื่อยๆ เก็บตลาดของตัวเองได้ครบ ส่วน Xing แป๊กเลย
โครงสร้างอายุ
NextUp วิเคราะห์ว่า Facebook จับใจประชากรทุกหมู่เหล่ามากกว่า (โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่) ในขณะที่ Orkut, Friendster, Hi5 นั้นเห็นชัดเจนว่าจับประชากรกลุ่มเด็กและวัยรุ่น มีส่วนที่เป็นผู้ใหญ่น้อย (ในแง่การตลาดก็อาจจะไม่ดีเท่าไร เพราะเป็นกลุ่มรายได้น้อย)
ส่วนแบ่งตลาด
แม้ว่า Facebook จะได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก แต่ก็ยังเจาะตลาดหลายๆ ประเทศไม่เข้า
• Facebook เป็นแชมป์ในประเทศตะวันตกเกือบทุกแห่ง ยกเว้นอเมริกา MySpace ยังเป็นแชมป์อยู่
• เอเชียตะวันออก ใช้ Social Network ของตัวเอง
• รัสเซีย บราซิล อินเดีย จีน (กลุ่ม BRIC) เป็นประเทศที่ Facebook เจาะแทบไม่เข้าเลย
ตารางเปรียบเทียบเฉพาะประเทศกลุ่ม BRIC ซึ่งมีประชากรรวมกันเยอะมาก
เปลี่ยนตารางอันแรกมาเป็นกราฟใยแมงมุม โดยเทียบสัดส่วนผู้ใช้ Facebook กับสัดส่วนผู้ใช้เน็ตทั้งประเทศ บราซิลกับญี่ปุ่นนี่แหว่งไปเลย
รายได้
โครงสร้างรายได้ของ Social Network ทั่วโลก จะเห็นว่าค่ายเอเชียถึงแม้จะมีคนใช้รวมไม่มาก แต่กินตลาดในประเทศตัวเองได้ แถมมีรายได้มากพอสมควรอีกต่างหาก
ถ้าเทียบกับ MySpace แล้ว Facebook ยังเป็นรองเรื่องรายได้เช่นกัน แม้ว่าจะมีคนใช้เยอะกว่า ตรงจุดนี้เข้าใจว่าเป็นเพราะ MySpace Music ซึ่งเป็นฟีเจอร์จุดขายของ MySpace ด้วยส่วนหนึ่ง คือถึงคนน้อยแต่ก็มีจุดขายชัดเจน
Friday, 28 August 2009
Monday, 24 August 2009
Facebook เตรียมออก version Lite
เป็นข่าว Talk ระดับหนึงของคนวงการ Social Network ของต่างประเทศ เกี่ยวกับการเตรียมเปิดตัวของ Facebook ในเวอร์ชั่น Lite
Facebook เวอร์ชั่น Lite นี้ ยังเป็นฉบับทดลองให้กับคนที่ได้รับเชิญเท่านั้น สำหรับเวอร์ชั่นนี้ออกมาเพื่อให้เราได้ใช้งาน Facebook แบบรวดเร็ว และง่ายกว่า ซึ่งวิธีการทำงานจะคล้ายๆ กับเวอร์ชั่นโทรศัพท์มือถือที่เราใช้ผ่าน Smartphone นั่นเอง
ส่วนหน้าตาก็ตาม screenshot ด้านล่างนี้เลย ซึ่งตอนนี้กำลังถูกเหล่า bloggers ในอเมริกาวิพากษ์วิจารย์กันหนาหู ว่าหน้าตาและการใช้งานช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ Friendfeed และ Twitter เอามากๆ แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ Facebook ขอซื้อ Friendsfeed ในราคาประมาณ 50 ล้านดอลล่าร์เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาก็ได้
จากคำบอกกล่าวของ Paul Buchheit, CEO ของ Friendfeed บอกไว้ว่า ‘การออก Facebook Lite นั้น เป็นดังคำยืนยันว่า Facebook ได้ทำตามสัญญา ที่ให้ไว้’ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Facebook มีแผนการทำเวอร์ชั่น Lite มาสักพักหนึ่ง และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลของการขอซื้อ Twitter หรือ Friendsfeed นั่นเอง
Facebook เวอร์ชั่น Lite นี้ ยังเป็นฉบับทดลองให้กับคนที่ได้รับเชิญเท่านั้น สำหรับเวอร์ชั่นนี้ออกมาเพื่อให้เราได้ใช้งาน Facebook แบบรวดเร็ว และง่ายกว่า ซึ่งวิธีการทำงานจะคล้ายๆ กับเวอร์ชั่นโทรศัพท์มือถือที่เราใช้ผ่าน Smartphone นั่นเอง
ส่วนหน้าตาก็ตาม screenshot ด้านล่างนี้เลย ซึ่งตอนนี้กำลังถูกเหล่า bloggers ในอเมริกาวิพากษ์วิจารย์กันหนาหู ว่าหน้าตาและการใช้งานช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ Friendfeed และ Twitter เอามากๆ แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ Facebook ขอซื้อ Friendsfeed ในราคาประมาณ 50 ล้านดอลล่าร์เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาก็ได้
จากคำบอกกล่าวของ Paul Buchheit, CEO ของ Friendfeed บอกไว้ว่า ‘การออก Facebook Lite นั้น เป็นดังคำยืนยันว่า Facebook ได้ทำตามสัญญา ที่ให้ไว้’ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Facebook มีแผนการทำเวอร์ชั่น Lite มาสักพักหนึ่ง และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลของการขอซื้อ Twitter หรือ Friendsfeed นั่นเอง
Facebook ครองแชมป์ Social Network เรียบร้อยแล้ว
เมื่อสองสัปดาห์ก่อน Marketing Oops! เพิ่งจะอัพเดทตัวเลขล่าสุดของ Top 20 Social Network in 2008 โดยมี Myspace ครองอันดับหนึ่ง Social network site และ Facebook ไล่ตามมาติดๆมาวันนี้ ตัวเลข stat เดือนล่าสุด (ม.ค. 2009) แสดงอย่างชัดเจนว่า Facebook แซง Myspace ไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะใหญ่กว่า Myspace ราว 20%
ดูเหมือนตัวเลขจะมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ใช้ Facebook ในแต่ละเดือนนั้นเป็นหลัก 10 ล้าน และมากกว่า Myspace เสียด้วย
หากเปรียบตัวเลขเดือน ธ.ค. 2008 กับ ม.ค. 2009 Facebook โตขึ้นไปอีก 14.9% มีผู้ใช้ทั้งหมด 68.5 ล้านคนทั่วโลก ในขณะที่ Myspace มี 58.5 ล้านคน
ส่วน Twitter ถ้าหากเปรียบกับพี่ใใหญ่ทั้งสอง ก็ยังคงดูตัวเล็กอยู่ แต่อัตราการเติบโตนั้นแรงพอดู คือ 812.7% จากปี 2007 – 2008 และเติบโต 34.7% จาก ธ.ค. 2008 - ม.ค. 2009 รวมตัวเลขผู้ใช้ทั้งหมด 5.9 ล้านคนทั่วโลก (ตัวเลขเดือนม.ค. 2009)
เพียงแค่หนึ่งเดือนผ่านไป ตัวเลข social network ก็เติบโตสวนวิกฤติเศรษฐกิจ ลองคิดดูสิว่า สิ้นปี 2009 ตัวเลขผู้ใช้จะขนาดไหน..
ตัวเลขเปรียบเทียบ Unique Visitors รายเดือนของ Facebook, Myspace และ Twitter
ดูเหมือนตัวเลขจะมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ใช้ Facebook ในแต่ละเดือนนั้นเป็นหลัก 10 ล้าน และมากกว่า Myspace เสียด้วย
หากเปรียบตัวเลขเดือน ธ.ค. 2008 กับ ม.ค. 2009 Facebook โตขึ้นไปอีก 14.9% มีผู้ใช้ทั้งหมด 68.5 ล้านคนทั่วโลก ในขณะที่ Myspace มี 58.5 ล้านคน
ส่วน Twitter ถ้าหากเปรียบกับพี่ใใหญ่ทั้งสอง ก็ยังคงดูตัวเล็กอยู่ แต่อัตราการเติบโตนั้นแรงพอดู คือ 812.7% จากปี 2007 – 2008 และเติบโต 34.7% จาก ธ.ค. 2008 - ม.ค. 2009 รวมตัวเลขผู้ใช้ทั้งหมด 5.9 ล้านคนทั่วโลก (ตัวเลขเดือนม.ค. 2009)
เพียงแค่หนึ่งเดือนผ่านไป ตัวเลข social network ก็เติบโตสวนวิกฤติเศรษฐกิจ ลองคิดดูสิว่า สิ้นปี 2009 ตัวเลขผู้ใช้จะขนาดไหน..
ตัวเลขเปรียบเทียบ Unique Visitors รายเดือนของ Facebook, Myspace และ Twitter
จับคนหลงตัวเองด้วย Facebook
การศึกษาใหม่จากมหาวิทยาลัยจอร์เจียระบุว่าเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ (online social network) เช่น Facebook เป็นเครื่องมืออย่างดีในการจับว่าใครหลงตัวเอง นักวิจัยพบว่าคนที่หลงตัวเองจะใช้ facebook เพื่อนำเสนอตัวเองด้วยแนวที่คนอื่นสามารถจับได้ งานวิจัยนี้จะตีพิมพ์ลงวารสาร Personality and Social Psychology Bulletin ซึ่งทำการศึกษาโดยให้ผู้ใช้ Facebook กว่า 130 คนตอบแบบสอบถาม และวิเคราะห์เนื้อหาในหน้า facebook และที่มีคนแปลกหน้าที่ไม่ไม่เคยเล่นมาดู และให้ให้คะแนนความประทับใจของตัวเองตามความหลงตัวเองในหน้านั้น
นักวิจัยพบว่า จำนวนเพื่อใน facebook และการเขียนเรื่องราวของแต่ละคนในหน้าข้อมูลของตัวเองมีความสัมพันธ์กับความหลงตัวเอง ซึ่งมีความสอดคล้องกับความหลงตัวเองในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย ด้วยการมีความสัมพันธ์จำนวนมากที่ไม่มีความลึกซึ้ง ความหลงตัวเองยังดูออกจาการเลือกภาพที่มีเสน่ห์หรือภาพนำเสนอตัวเองในหน้าข้อมูลส่วนตัว โดยคนอื่นจะใช้เพียงรูปถ่ายธรรมดา
ผู้ที่ไม่เคยใช้สามารถจับความหลงตัวเองนี้ได้ด้วย นักวิจัยพบว่าคนที่มองจะใช้รูปแบบ 3 ประการในการมองคือ ปริมาณปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความหน้าดึงดูดใจของแต่ละคน และ ระดับการนำเสนอตัวในรูปถ่ายหลัก เพื่อระบุความประทับใจในบุคคิกของแต่ละคน ผลที่ได้แม้่ว่าจะไม่สมบูรณ์แต่ก็แสดงให้เห็นความละเอียดในการตัดสินบางอย่างได้
ความหลงตัวเองเป็นการแสดงออกความน่าสนใจอย่างหนึ่ง เพราะมันหยุดความสัมพันธ์ระยะยาว และความสามารถที่ดีไป ความหลงตัวเองมักเริ่มต้นด้วยเสน่ห์แต่มักจบลงเมื่อตัวเองได้ผลประโยชน์นั้น ความหลงตัวเองทำร้ายคนไปทั่วและจะทำร้ายตัวเองในระยะยาว
การเจริญเติบโตที่ใหญ่โตของเว็บไซต์เครือข่ายสังคม อย่างเช่น Facebook ที่มียอดคนใช้กว่า 100 ล้านคนในตอนนี้ ทำให้นักจิตวิทยาสินใจการแสดงออกของบุคลิกส่วนตัวของคนผ่านอินเทอร์เนต นักวิจัยเลือก facebook เพราะว่ามีความนิยมสูงในนักศึกษามหาวิทยาลัยและเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้ใช้ง่ายขึ้นจนทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้เปรียบเทียบหน้าของแต่ละคนได้
นักวิจัยในอดีตบางคนพบว่าหน้าเว็บส่วนตัวเป็นที่นิยมมากในหมู่พวกหลงตัวเอง แต่นักวิจัยปัจจุบันระบุว่าไม่มีหลักฐานที่จะระบุว่าคนใช้ Facebook มีความหลงตัวเองมากกว่าคนอื่น นักศึกษาเกือบทั้งหมดใช้ Facebook และดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งพวกที่หลงตัวเองก็จะใช้ Facebook ในทางเดียวกับความสัมพันธ์ทางอื่น เพื่อนำเสนอตัวเองด้วยการเน้นย้ำปริมาณมากกว่าคุณภาพ
นักวิจัยย้ำว่าด้วยการที่พวกหลงตัวเองมีจำนวนเพื่อนเยอะใน Facebook ผู้ใช้ที่หลงตัวเอง Facebook จะมีเพื่อนออนไลน์เยอะกว่าจำนวนที่พวกหลงตัวเองมีเพื่อนในโลกจริง แต่ก็เป็นการด่วนสรุปเกินไปในการทำนายถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนำเสนอของคนธรรมดา ซึ่งการศึกษาสังคมออนไลน์นั้นเพิ่งเป็นจุดเริ่มต้น
เรามีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมใน 4 หรือ 5 ปีที่ผ่านมา และปัจจุบันนักศึกษาในอเมริกาส่วนใหญ่ก็ใช้ Facebook ในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ซึ่งนี้เป็นสิ่งใหม่ของสังคมออนไลน์ที่เราเพิ่งเริ่มต้นเข้าใจมัน
ที่มา - physorg.com
เอกสารอ้างอิง - Personality and Social Psychology Bulletin
นักวิจัยพบว่า จำนวนเพื่อใน facebook และการเขียนเรื่องราวของแต่ละคนในหน้าข้อมูลของตัวเองมีความสัมพันธ์กับความหลงตัวเอง ซึ่งมีความสอดคล้องกับความหลงตัวเองในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย ด้วยการมีความสัมพันธ์จำนวนมากที่ไม่มีความลึกซึ้ง ความหลงตัวเองยังดูออกจาการเลือกภาพที่มีเสน่ห์หรือภาพนำเสนอตัวเองในหน้าข้อมูลส่วนตัว โดยคนอื่นจะใช้เพียงรูปถ่ายธรรมดา
ผู้ที่ไม่เคยใช้สามารถจับความหลงตัวเองนี้ได้ด้วย นักวิจัยพบว่าคนที่มองจะใช้รูปแบบ 3 ประการในการมองคือ ปริมาณปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความหน้าดึงดูดใจของแต่ละคน และ ระดับการนำเสนอตัวในรูปถ่ายหลัก เพื่อระบุความประทับใจในบุคคิกของแต่ละคน ผลที่ได้แม้่ว่าจะไม่สมบูรณ์แต่ก็แสดงให้เห็นความละเอียดในการตัดสินบางอย่างได้
ความหลงตัวเองเป็นการแสดงออกความน่าสนใจอย่างหนึ่ง เพราะมันหยุดความสัมพันธ์ระยะยาว และความสามารถที่ดีไป ความหลงตัวเองมักเริ่มต้นด้วยเสน่ห์แต่มักจบลงเมื่อตัวเองได้ผลประโยชน์นั้น ความหลงตัวเองทำร้ายคนไปทั่วและจะทำร้ายตัวเองในระยะยาว
การเจริญเติบโตที่ใหญ่โตของเว็บไซต์เครือข่ายสังคม อย่างเช่น Facebook ที่มียอดคนใช้กว่า 100 ล้านคนในตอนนี้ ทำให้นักจิตวิทยาสินใจการแสดงออกของบุคลิกส่วนตัวของคนผ่านอินเทอร์เนต นักวิจัยเลือก facebook เพราะว่ามีความนิยมสูงในนักศึกษามหาวิทยาลัยและเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้ใช้ง่ายขึ้นจนทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้เปรียบเทียบหน้าของแต่ละคนได้
นักวิจัยในอดีตบางคนพบว่าหน้าเว็บส่วนตัวเป็นที่นิยมมากในหมู่พวกหลงตัวเอง แต่นักวิจัยปัจจุบันระบุว่าไม่มีหลักฐานที่จะระบุว่าคนใช้ Facebook มีความหลงตัวเองมากกว่าคนอื่น นักศึกษาเกือบทั้งหมดใช้ Facebook และดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งพวกที่หลงตัวเองก็จะใช้ Facebook ในทางเดียวกับความสัมพันธ์ทางอื่น เพื่อนำเสนอตัวเองด้วยการเน้นย้ำปริมาณมากกว่าคุณภาพ
นักวิจัยย้ำว่าด้วยการที่พวกหลงตัวเองมีจำนวนเพื่อนเยอะใน Facebook ผู้ใช้ที่หลงตัวเอง Facebook จะมีเพื่อนออนไลน์เยอะกว่าจำนวนที่พวกหลงตัวเองมีเพื่อนในโลกจริง แต่ก็เป็นการด่วนสรุปเกินไปในการทำนายถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนำเสนอของคนธรรมดา ซึ่งการศึกษาสังคมออนไลน์นั้นเพิ่งเป็นจุดเริ่มต้น
เรามีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมใน 4 หรือ 5 ปีที่ผ่านมา และปัจจุบันนักศึกษาในอเมริกาส่วนใหญ่ก็ใช้ Facebook ในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ซึ่งนี้เป็นสิ่งใหม่ของสังคมออนไลน์ที่เราเพิ่งเริ่มต้นเข้าใจมัน
ที่มา - physorg.com
เอกสารอ้างอิง - Personality and Social Psychology Bulletin
อะไรที่ทำให้ facebook มาแรงแซงโค้งขนาดนี้ ?
คำตอบคือความง่าย (friendly user) และสนองตอบความในใจ (consumer insight) ของผู้บริโภคได้ตรงจุดนั่นแหละครับ
ฟังก์ชั่นในเฟซบุ๊กสามารถแลกเปลี่ยน, พูดคุย, แสดงความเห็น, แบ่ง ปันข้อมูล กับเครือข่ายของเราและเครือข่ายของเพื่อนที่มีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกันโดยไม่ยุ่งยาก ด้วยลูกเล่นต่างๆ ทั้งแบบสอบถามขำๆ รูปสวยๆ ข้อความดีๆ ที่ใครไม่รู้ส่งมาให้ แต่สุดท้ายก็คือเพื่อนของเพื่อนเรานั่นเอง
สิ่งสำคัญ คือ facebook สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เป็น ชุมชนออนไลน์เพื่อรวบรวมข้อมูลเพื่อนๆ เหมือนหนังสือรุ่น จึงถูกวางกฎเกณฑ์ให้เหมือนโลกที่เป็นจริง คนที่จะเป็นสมาชิกต้องใช้ชื่อนาม-สกุลจริง และอีเมลเดียวกันในการลงทะเบียน เพื่อการันตีการมีตัวตนอยู่จริง ในขณะที่ชุมชนออนไลน์อื่นสามารถใช้ชื่อสมมติลงทะเบียน จึงเป็นได้แค่เครื่องมือที่ทำให้เจอคนใหม่ๆ บนโลกออนไลน์แค่นั้น
ความน่าเชื่อถือของผู้คนในชุมชนนี้ จึงไปสอดรับกับจุดขายของ face book ที่ยกเอาเรื่องการจัดวางระดับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่หลากหลายในชีวิตจริงมาไว้ในโลกออนไลน์อย่างเห็นผล
facebook จึงกลายเป็นชุมชนออนไลน์ที่แข็งแรง และขยายตัวจากกลุ่มวัยรุ่นสู่กลุ่มอายุหลากหลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งที่ social network อื่นให้ไม่ได้ ทำให้คนทั้งโลกติดหนึบอยู่หน้าคอมพ์เฉลี่ยเดือนละ 169 ชั่วโมง
ในบ้านเรา ตามข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน ที่รายงานไว้ใน check facebook.com บอกว่าไทยมีสมาชิก facebook 632,520 คน เป็นผู้ชาย 42.5% ผู้หญิง 57.5% กลุ่มอายุ 18-24 ยังเป็นกลุ่มหลัก 38.5% ใกล้เคียงกับกลุ่มอายุ 25-34 36.6% ตามมาด้วยกลุ่มอายุ 35-44 10.1% ส่วนกลุ่มวัยรุ่น 14-17 ปี ใช้น้อยมาก 8.9%
จากข้อมูลเห็นชัดเจนว่า facebook เติบโตในกลุ่มของนักศึกษาและ วัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพทางการตลาดสูง สอดคล้องกับเทรนด์ของ facebook ในประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ จากคุณสมบัติใช้งานง่ายและสมาชิกมีตัวตนจริง ทำให้ facebook ในกลุ่มคนทำงาน 35-49 ปี มีอัตราการเติบโตมากกว่ากลุ่ม 18-34 ปี เพราะคนกลุ่มนี้ใช้ social network เป็นพื้นที่ในการพูดคุยและขยายฐานธุรกิจจากเครือข่ายใน facebook ด้วย
สิ่งที่ตามมา เมื่อกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ facebook จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการตลาดที่พยายามสร้างการรับรู้แบรนด์ของตนให้อยู่ท่ามกลางการขยายความสัมพันธ์ของเครือข่ายที่แข็ง แรงทั้งทางตรงคือ การซื้อแบนเนอร์โฆษณา และทางอ้อมคือการตั้งเครือข่ายของสินค้าสื่อสารถึงผู้บริโภคผ่านกระดานสนทนาเพื่อหวังสร้างความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค อย่างน้อยการพูดคุยโต้ตอบ กับเพื่อนในเครือข่ายของลูกค้าเก่าวันละหนึ่งคน อานุภาพของ social network ก็จะทำให้มีคนรู้จักแบรนด์ของเราเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบ และถ้ามีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นแค่หนึ่ง ก็ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ฟังก์ชั่นในเฟซบุ๊กสามารถแลกเปลี่ยน, พูดคุย, แสดงความเห็น, แบ่ง ปันข้อมูล กับเครือข่ายของเราและเครือข่ายของเพื่อนที่มีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกันโดยไม่ยุ่งยาก ด้วยลูกเล่นต่างๆ ทั้งแบบสอบถามขำๆ รูปสวยๆ ข้อความดีๆ ที่ใครไม่รู้ส่งมาให้ แต่สุดท้ายก็คือเพื่อนของเพื่อนเรานั่นเอง
สิ่งสำคัญ คือ facebook สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เป็น ชุมชนออนไลน์เพื่อรวบรวมข้อมูลเพื่อนๆ เหมือนหนังสือรุ่น จึงถูกวางกฎเกณฑ์ให้เหมือนโลกที่เป็นจริง คนที่จะเป็นสมาชิกต้องใช้ชื่อนาม-สกุลจริง และอีเมลเดียวกันในการลงทะเบียน เพื่อการันตีการมีตัวตนอยู่จริง ในขณะที่ชุมชนออนไลน์อื่นสามารถใช้ชื่อสมมติลงทะเบียน จึงเป็นได้แค่เครื่องมือที่ทำให้เจอคนใหม่ๆ บนโลกออนไลน์แค่นั้น
ความน่าเชื่อถือของผู้คนในชุมชนนี้ จึงไปสอดรับกับจุดขายของ face book ที่ยกเอาเรื่องการจัดวางระดับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่หลากหลายในชีวิตจริงมาไว้ในโลกออนไลน์อย่างเห็นผล
facebook จึงกลายเป็นชุมชนออนไลน์ที่แข็งแรง และขยายตัวจากกลุ่มวัยรุ่นสู่กลุ่มอายุหลากหลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งที่ social network อื่นให้ไม่ได้ ทำให้คนทั้งโลกติดหนึบอยู่หน้าคอมพ์เฉลี่ยเดือนละ 169 ชั่วโมง
ในบ้านเรา ตามข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน ที่รายงานไว้ใน check facebook.com บอกว่าไทยมีสมาชิก facebook 632,520 คน เป็นผู้ชาย 42.5% ผู้หญิง 57.5% กลุ่มอายุ 18-24 ยังเป็นกลุ่มหลัก 38.5% ใกล้เคียงกับกลุ่มอายุ 25-34 36.6% ตามมาด้วยกลุ่มอายุ 35-44 10.1% ส่วนกลุ่มวัยรุ่น 14-17 ปี ใช้น้อยมาก 8.9%
จากข้อมูลเห็นชัดเจนว่า facebook เติบโตในกลุ่มของนักศึกษาและ วัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพทางการตลาดสูง สอดคล้องกับเทรนด์ของ facebook ในประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ จากคุณสมบัติใช้งานง่ายและสมาชิกมีตัวตนจริง ทำให้ facebook ในกลุ่มคนทำงาน 35-49 ปี มีอัตราการเติบโตมากกว่ากลุ่ม 18-34 ปี เพราะคนกลุ่มนี้ใช้ social network เป็นพื้นที่ในการพูดคุยและขยายฐานธุรกิจจากเครือข่ายใน facebook ด้วย
สิ่งที่ตามมา เมื่อกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ facebook จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการตลาดที่พยายามสร้างการรับรู้แบรนด์ของตนให้อยู่ท่ามกลางการขยายความสัมพันธ์ของเครือข่ายที่แข็ง แรงทั้งทางตรงคือ การซื้อแบนเนอร์โฆษณา และทางอ้อมคือการตั้งเครือข่ายของสินค้าสื่อสารถึงผู้บริโภคผ่านกระดานสนทนาเพื่อหวังสร้างความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค อย่างน้อยการพูดคุยโต้ตอบ กับเพื่อนในเครือข่ายของลูกค้าเก่าวันละหนึ่งคน อานุภาพของ social network ก็จะทำให้มีคนรู้จักแบรนด์ของเราเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบ และถ้ามีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นแค่หนึ่ง ก็ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
Facebook ในการเป็นเครื่องมือทางการตลาด
ไลฟ์สไตล์ของคนพ.ศ.นี้ ผูกติดกับโลกของไซเบอร์มากขึ้นทุกที Niel sen online เปิดเผยข้อมูลกิจกรรมยอดนิยมของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตล่าสุด บอกว่า การสืบค้นข้อมูลยังนำโด่ง ตามมาด้วยการเข้าเว็บไซต์ตามความสนใจและที่เติบโตแบบก้าวกระโดด คือการใช้เวลาใน social network หรือชุมชนออนไลน์ ที่แซงหน้าการเช็กอีเมลไปแล้วเรียบร้อย
ด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัว และเจาะจงกลุ่มที่มีความ ชอบแบบเดียวกันและสามารถขยายเครือข่ายไปสู่คนรอบตัวสร้างความสัมพันธ์แบบใยแมงมุม ทำให้ social network หรือชุมชนบนโลกออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่อย่างว่า โลกออนไลน์หมุนเร็วกว่าโลกใบไหนๆ เวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ อะไรที่ว่า in ก็ out เพียงข้ามวัน
เมื่อวานนี้ hi 5 ยังฮอตอยู่ดีๆ แต่วันนี้ก็ทำท่าจะเจอคู่แข่ง เพราะ social network ที่มาแรงของหมู่นักท่องเน็ตเมืองไทยในวินาทีนี้ มีชื่ออื่นแทรกขึ้นมาแทนที่ อย่างล่าสุด ทวิตเตอร์ (twitter) ก็กลายเป็นชื่อชุมชนออนไลน์แห่งใหม่ที่น่าจะฮอตในกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เปิดตัวพร้อมโฟนอินแซยิดของอดีตนายกฯ ทักษิณ แต่ที่โดดเด่นและมาแรงสุดๆ คงไม่มีเว็บไหนที่ฮอตเกินหน้า เฟซบุ๊ก (facebook) ไปได้อีกแล้ว
facebook เปิดตัวเมื่อปี 2547 แค่ 5 ปีมีสาวกทั่วโลกกว่า 175 ล้าน คน สำหรับบ้านเราเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายเมื่อสองปีที่แล้ว และมีอัตราการเติบโตสูงมากในปัจจุบัน จากเว็บไซต์ที่มีคนไทยเยี่ยมชม เป็นอันดับ 32 เมื่อตอนต้นปี 52 เวลาผ่านไปครึ่งปี facebook ทะยานพรวดสู่อันดับที่ 13 และทำท่าจะฮอตขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัว และเจาะจงกลุ่มที่มีความ ชอบแบบเดียวกันและสามารถขยายเครือข่ายไปสู่คนรอบตัวสร้างความสัมพันธ์แบบใยแมงมุม ทำให้ social network หรือชุมชนบนโลกออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่อย่างว่า โลกออนไลน์หมุนเร็วกว่าโลกใบไหนๆ เวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ อะไรที่ว่า in ก็ out เพียงข้ามวัน
เมื่อวานนี้ hi 5 ยังฮอตอยู่ดีๆ แต่วันนี้ก็ทำท่าจะเจอคู่แข่ง เพราะ social network ที่มาแรงของหมู่นักท่องเน็ตเมืองไทยในวินาทีนี้ มีชื่ออื่นแทรกขึ้นมาแทนที่ อย่างล่าสุด ทวิตเตอร์ (twitter) ก็กลายเป็นชื่อชุมชนออนไลน์แห่งใหม่ที่น่าจะฮอตในกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เปิดตัวพร้อมโฟนอินแซยิดของอดีตนายกฯ ทักษิณ แต่ที่โดดเด่นและมาแรงสุดๆ คงไม่มีเว็บไหนที่ฮอตเกินหน้า เฟซบุ๊ก (facebook) ไปได้อีกแล้ว
facebook เปิดตัวเมื่อปี 2547 แค่ 5 ปีมีสาวกทั่วโลกกว่า 175 ล้าน คน สำหรับบ้านเราเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายเมื่อสองปีที่แล้ว และมีอัตราการเติบโตสูงมากในปัจจุบัน จากเว็บไซต์ที่มีคนไทยเยี่ยมชม เป็นอันดับ 32 เมื่อตอนต้นปี 52 เวลาผ่านไปครึ่งปี facebook ทะยานพรวดสู่อันดับที่ 13 และทำท่าจะฮอตขึ้นเรื่อยๆ
59 ความจริงเกี่ยวกับ Facebook
1. 80% ของคนที่เรา add (แอด) มักเป็นคนที่เราไม่รู้จัก
2. อยากรู้เหมือนกันว่าคนต่างชาติ add เราที่เขียนทวิตเตอร์เป็นภาษาไทยเพราะอะไร
3. เคยมีคน add มาแล้วมาถามว่าเขียนอะไรหรอ? อ่านภาษาไทยไม่ออกด้วยล่ะ ( add มาเพื่อ ????)
4. คนส่วนใหญ่สร้างเฟสบุ๊คเพื่อเล่นเกมส์ ไม่ก็เล่นควิซ
5. ส่วนน้อยก็มีนะ เช่น สร้างไว้พูดคุยธรรมดากับเพื่อนฝูง หรือ จะใช้ไว้จีบสาวโดยเฉพาะ
6. เมื่อเจอคนที่มีเพื่อนร่วมกัน(ที่รู้จักเพื่อนของคุณ) ก็อาจจะแอบ add เขาไปด้วยเสมอ!!
7. หากมีคนที่ไม่ใช่เพื่อนที่คุณรู้จัก(เป็นการส่วนตัว)มาคอมเมนต์หรือกด like ให้เรามักจะไปที่หน้าเพจและอ่านประวัติเค้า ทันทีที่เห็น
8. คนมีแฟนส่วนใหญ่มักไม่ระบุสถานภาพของตัวเอง
9. (เว้นแต่จะรักกันจริง ๆ นะ....)
10. แต่ถ้าแฟนบังคับให้เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนละ ตาย!!!
11. 60 % เมื่อไม่พอใจกับคำตอบควิซ ก็จะเล่นใหม่จนกว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ (แล้วกด publish ซะ)
12. เรามักเล่นควิซจากที่คนอื่นเล่น (เพราะขี้เกียจหานั่นเอง)
13. รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นอีกด้วย เห็นเพื่อนใช้ เราก็ใช้ตามมั้ง
14. เกินกว่าครึ่งของควิซในเฟสบุ๊คมักไร้สาระ
15. (แต่ยังไง.. เราก็มันจะทำกันอยู่ดี =v=”)
16. ส่วนใหญ่ควิซที่ไร้สาระมีการแสดงความคิดเห็น มากกว่าควิซที่มีสาระเสมอ
17. Quiz ส่วนใหญ่ มักจะมี quiz ออกมาตามหนังหรือละครที่ดังๆ
18. บางคนจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็เล่นไว้ก่อน (จะเก็บยอดทำควิซรึไง -*-)
19. ไม่มีใครเล่นเกมบนเฟซบุ๊ค แล้วไม่รู้จักเกม Restaurant City (RC) (เพราะเป็นเกมเชิดหน้าชูตาของเฟซบุ๊กเลยนะเนี่ย)
20. ถ้าเป็นคนที่เล่นเกมส์ตระกูลปลูกผักทั้งหลาย ส่วนใหญ่ต้องขโมยผักคนอื่น ไม่ก็แอบวางยา
21. แล้วทำไม มันต้องมีโหมดนี้ด้วยเนอะ = ="
22. จะว่าไป... แกล้งคนอื่นก็สนุกดี (เฮ้ย!!!)
23. มีคนส่วนน้อยในไทยที่ใช้จ่ายเงินจริงเพื่อซื้อแต้มใช้เล่นเกม
24. (เว้นแต่คน ๆ นั้นจะรวย $_$)
25. 80% ที่เล่น happy farm มักไม่มีแถบแดงๆ
26. (แปลว่า ไม่เคยส่งดอกไม้หรือให้ดอกไม้คนอื่นกันเลย)
27. คนที่เล่น barn buddy มักจะเล่น happy farm หรือ FarmVille ด้วย
28. แต่พอเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง.. ก็ขี้เกียจเล่นอีกอย่างหนึ่ง
29. หรือไม่ก็เลิกเล่นเกมพวกนี้ไปเลย (ป๊าด~~~)
30. คนบางคนไม่รู้ว่า เมื่อเล่นควิซจบ หรือเล่นเกม ถ้าไม่ต้องส่งคำถามให้เพื่อนเล่นหรือ publish ให้กด Skip
31. (แต่มักจะหากันไม่เจอเลยกดยัดให้เพื่อนตอบแทน) < - - ลำบากกรูอีก
32. เหตุผลเพื่อ add คนไม่รู้จัก เพื่อเล่น RC ต้องการไอเท็มเพิ่ม (จากการเข้าร้านเพื่อนครั้งแรก) < --มันไม่ได้มีเกมเดียวนิ
33. เมื่อเกม RC จนเลเวลสูงแล้ว (Lv 20+) ก็จะเริ่มขี้เกียจเล่น
34. เพราะอัพเลเวลยากหลายเท่า TT^TT
35. 50% คนที่เล่น RC จะสมัครเว็บ playfish.in.th เพื่อใช้เล่นเกม RC โดยเฉพาะ (หาเพื่อน / แลกของ)
36. แต่ก็มีคน add คุณที่บอร์ดข้อ 35. นี้เยอะอยู่เหมือนกัน
37. เมื่อเกมใน playfish มี 4 เกม จะต้องมีเกมใดเกมหนึ่ง maintance อยู่ตลอด
38. สำหรับคนที่มีไอดีทวิสเตอร์ (twitter) มักจะ Feed ลงใน facebook
39. แต่ใครอยากรู้เรื่องส่วนตัวของคุณขนาดนั้นละ!!
40. (แม้แต่คนเขียนก็ feed กับเขาด้วย) < - - ขี้เกียจบ่นหลายที่ละมั้ง = =”
41. คนส่วนใหญ่มักกดปิด offline ในหน้า chat
42. (ก็เพื่อนมันออนเยอะ เลยขี้เกียจทัก)
43. ยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าเมื่ออัพรูปลงไปแล้วสามารถ tag เพื่อนของคุณได้นะ
44. เกือบ 100% ของคนที่รับปริญญาปีนี้ จะเอารูปตอนใส่ชุดครุยขึ้นเป็นรูปดิสเพลย์
45. ส่วนวัยรุ่นบางคนที่เปิดเผย แกจะก็ทำท่าซดโออิชิเป็นประจำ (ไม่เก็ตมุขคลิก)
46. เมื่อเราจัดการรีเควสไป ไม่ถึง 10 นาทีเดี๋ยวมันก็โผล่มาอีก
47. มีอีกหลายคนที่ไม่เคยใช้ note แถมไม่รู้ว่า note ใช้ทำอะไร?
48. "ของขวัญ" เป็นแอพพลิเคชั่นที่ถูกลืมมากที่สุด เพราะต้องเสียเงิน
49. เมื่อเล่นเกมในเฟซบุ๊คจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 10 นาที (เพราะเข้าปุ๊บติดเกมปั๊ป)
50. แทบไม่มี(คนไทย)เล่นเฟซบุ๊คบนมือถือ เพื่อใช้เล่นเกมกันหรอกนะ (ยกเว้นมือถือบางรุ่น ที่รองรับมั้ง)
51. เลยไปหันพึ่ง twitter ใช้บ่นแทน
52. เกมในเฟซบุ๊คไม่ขยายตามความกว้างตามหน้าจอ (เซ็ง)
53. คนเขียนชักเริ่มหมดมุขละ.... (เอาไงดี!!)
54. คิด ๆ ๆ .... (ไปห้องน้ำดีกว่า -..-) <-- ทำอะไรของแกวะ
55. 99.9% ของคนเขียน ต้องเปิดเฟซบุ๊คไปด้วย ไม่งั้นเขียนเรื่องไม่ได้ (0.01% คืออะไร - -?)
56. อีกซักพักคนเขียนจะติดเกมเฟซบุ๊คอีกรอบ (ระหว่างเขียนอยู่)
57. ใครที่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊คคงจะปิดเอนทรี่นี้ไปนานละ (กว่าจะถึงข้อนี้) <-- หลายคนบอกไม่ตรง เพราะฮาเลยมาอ่าน = ="
58. ใครที่เล่น facebook จะแอบ add ผมเข้าไปในเกมด้วย (จริงใช่มั๊ย?) facebook.com/cartoonst จะมีใครเห็นไหมเนี่ย~
59. สุดท้ายละ.... ใคร add ผมจากข้อ 58. เมื่อกี้ ยอมรับมาซะโดยดี
2. อยากรู้เหมือนกันว่าคนต่างชาติ add เราที่เขียนทวิตเตอร์เป็นภาษาไทยเพราะอะไร
3. เคยมีคน add มาแล้วมาถามว่าเขียนอะไรหรอ? อ่านภาษาไทยไม่ออกด้วยล่ะ ( add มาเพื่อ ????)
4. คนส่วนใหญ่สร้างเฟสบุ๊คเพื่อเล่นเกมส์ ไม่ก็เล่นควิซ
5. ส่วนน้อยก็มีนะ เช่น สร้างไว้พูดคุยธรรมดากับเพื่อนฝูง หรือ จะใช้ไว้จีบสาวโดยเฉพาะ
6. เมื่อเจอคนที่มีเพื่อนร่วมกัน(ที่รู้จักเพื่อนของคุณ) ก็อาจจะแอบ add เขาไปด้วยเสมอ!!
7. หากมีคนที่ไม่ใช่เพื่อนที่คุณรู้จัก(เป็นการส่วนตัว)มาคอมเมนต์หรือกด like ให้เรามักจะไปที่หน้าเพจและอ่านประวัติเค้า ทันทีที่เห็น
8. คนมีแฟนส่วนใหญ่มักไม่ระบุสถานภาพของตัวเอง
9. (เว้นแต่จะรักกันจริง ๆ นะ....)
10. แต่ถ้าแฟนบังคับให้เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนละ ตาย!!!
11. 60 % เมื่อไม่พอใจกับคำตอบควิซ ก็จะเล่นใหม่จนกว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ (แล้วกด publish ซะ)
12. เรามักเล่นควิซจากที่คนอื่นเล่น (เพราะขี้เกียจหานั่นเอง)
13. รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นอีกด้วย เห็นเพื่อนใช้ เราก็ใช้ตามมั้ง
14. เกินกว่าครึ่งของควิซในเฟสบุ๊คมักไร้สาระ
15. (แต่ยังไง.. เราก็มันจะทำกันอยู่ดี =v=”)
16. ส่วนใหญ่ควิซที่ไร้สาระมีการแสดงความคิดเห็น มากกว่าควิซที่มีสาระเสมอ
17. Quiz ส่วนใหญ่ มักจะมี quiz ออกมาตามหนังหรือละครที่ดังๆ
18. บางคนจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็เล่นไว้ก่อน (จะเก็บยอดทำควิซรึไง -*-)
19. ไม่มีใครเล่นเกมบนเฟซบุ๊ค แล้วไม่รู้จักเกม Restaurant City (RC) (เพราะเป็นเกมเชิดหน้าชูตาของเฟซบุ๊กเลยนะเนี่ย)
20. ถ้าเป็นคนที่เล่นเกมส์ตระกูลปลูกผักทั้งหลาย ส่วนใหญ่ต้องขโมยผักคนอื่น ไม่ก็แอบวางยา
21. แล้วทำไม มันต้องมีโหมดนี้ด้วยเนอะ = ="
22. จะว่าไป... แกล้งคนอื่นก็สนุกดี (เฮ้ย!!!)
23. มีคนส่วนน้อยในไทยที่ใช้จ่ายเงินจริงเพื่อซื้อแต้มใช้เล่นเกม
24. (เว้นแต่คน ๆ นั้นจะรวย $_$)
25. 80% ที่เล่น happy farm มักไม่มีแถบแดงๆ
26. (แปลว่า ไม่เคยส่งดอกไม้หรือให้ดอกไม้คนอื่นกันเลย)
27. คนที่เล่น barn buddy มักจะเล่น happy farm หรือ FarmVille ด้วย
28. แต่พอเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง.. ก็ขี้เกียจเล่นอีกอย่างหนึ่ง
29. หรือไม่ก็เลิกเล่นเกมพวกนี้ไปเลย (ป๊าด~~~)
30. คนบางคนไม่รู้ว่า เมื่อเล่นควิซจบ หรือเล่นเกม ถ้าไม่ต้องส่งคำถามให้เพื่อนเล่นหรือ publish ให้กด Skip
31. (แต่มักจะหากันไม่เจอเลยกดยัดให้เพื่อนตอบแทน) < - - ลำบากกรูอีก
32. เหตุผลเพื่อ add คนไม่รู้จัก เพื่อเล่น RC ต้องการไอเท็มเพิ่ม (จากการเข้าร้านเพื่อนครั้งแรก) < --มันไม่ได้มีเกมเดียวนิ
33. เมื่อเกม RC จนเลเวลสูงแล้ว (Lv 20+) ก็จะเริ่มขี้เกียจเล่น
34. เพราะอัพเลเวลยากหลายเท่า TT^TT
35. 50% คนที่เล่น RC จะสมัครเว็บ playfish.in.th เพื่อใช้เล่นเกม RC โดยเฉพาะ (หาเพื่อน / แลกของ)
36. แต่ก็มีคน add คุณที่บอร์ดข้อ 35. นี้เยอะอยู่เหมือนกัน
37. เมื่อเกมใน playfish มี 4 เกม จะต้องมีเกมใดเกมหนึ่ง maintance อยู่ตลอด
38. สำหรับคนที่มีไอดีทวิสเตอร์ (twitter) มักจะ Feed ลงใน facebook
39. แต่ใครอยากรู้เรื่องส่วนตัวของคุณขนาดนั้นละ!!
40. (แม้แต่คนเขียนก็ feed กับเขาด้วย) < - - ขี้เกียจบ่นหลายที่ละมั้ง = =”
41. คนส่วนใหญ่มักกดปิด offline ในหน้า chat
42. (ก็เพื่อนมันออนเยอะ เลยขี้เกียจทัก)
43. ยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าเมื่ออัพรูปลงไปแล้วสามารถ tag เพื่อนของคุณได้นะ
44. เกือบ 100% ของคนที่รับปริญญาปีนี้ จะเอารูปตอนใส่ชุดครุยขึ้นเป็นรูปดิสเพลย์
45. ส่วนวัยรุ่นบางคนที่เปิดเผย แกจะก็ทำท่าซดโออิชิเป็นประจำ (ไม่เก็ตมุขคลิก)
46. เมื่อเราจัดการรีเควสไป ไม่ถึง 10 นาทีเดี๋ยวมันก็โผล่มาอีก
47. มีอีกหลายคนที่ไม่เคยใช้ note แถมไม่รู้ว่า note ใช้ทำอะไร?
48. "ของขวัญ" เป็นแอพพลิเคชั่นที่ถูกลืมมากที่สุด เพราะต้องเสียเงิน
49. เมื่อเล่นเกมในเฟซบุ๊คจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 10 นาที (เพราะเข้าปุ๊บติดเกมปั๊ป)
50. แทบไม่มี(คนไทย)เล่นเฟซบุ๊คบนมือถือ เพื่อใช้เล่นเกมกันหรอกนะ (ยกเว้นมือถือบางรุ่น ที่รองรับมั้ง)
51. เลยไปหันพึ่ง twitter ใช้บ่นแทน
52. เกมในเฟซบุ๊คไม่ขยายตามความกว้างตามหน้าจอ (เซ็ง)
53. คนเขียนชักเริ่มหมดมุขละ.... (เอาไงดี!!)
54. คิด ๆ ๆ .... (ไปห้องน้ำดีกว่า -..-) <-- ทำอะไรของแกวะ
55. 99.9% ของคนเขียน ต้องเปิดเฟซบุ๊คไปด้วย ไม่งั้นเขียนเรื่องไม่ได้ (0.01% คืออะไร - -?)
56. อีกซักพักคนเขียนจะติดเกมเฟซบุ๊คอีกรอบ (ระหว่างเขียนอยู่)
57. ใครที่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊คคงจะปิดเอนทรี่นี้ไปนานละ (กว่าจะถึงข้อนี้) <-- หลายคนบอกไม่ตรง เพราะฮาเลยมาอ่าน = ="
58. ใครที่เล่น facebook จะแอบ add ผมเข้าไปในเกมด้วย (จริงใช่มั๊ย?) facebook.com/cartoonst จะมีใครเห็นไหมเนี่ย~
59. สุดท้ายละ.... ใคร add ผมจากข้อ 58. เมื่อกี้ ยอมรับมาซะโดยดี
Subscribe to:
Posts (Atom)